วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ซื้อหุ้นแล้วติดดอย ทำไงดี ??

          ดอยในการลงทุนนั้น มีหลายดอย ไม่ว่าจะเป็นดอยหุ้น ดอยน้ำมัน ดอยทองคำ หรือแม้แต่ดอยหุ้นต่างประเทศ เรียกได้ว่าทุกสินทรัพย์ที่มีการซื้อขาย สามารถสร้างดอยได้ทั้งหมด เขาว่า ทองดีก็ซื้อบ้าง หุ้นตัวไหนแรงก็ตามไปด้วย พอมารู้ตัวอีกทีก็อยู่บนดอยเสียแล้ว ถึงแม้จะมีเพื่อนร่วมอาศัยบนดอยมากมาย ไม่ว่าจะอาศัยกันอยู่แถบเชิงดอย หรือยอดดอย ก็ไม่เคยทำให้เรารู้สึกอบอุ่นแต่อย่างใดจริงไหม เช่นนั้นแล้ว วันนี้ เรามาหาทางลงดอยกันดีกว่า



          ขั้นตอนแรกก่อนการลงดอย เรามาตั้งสติ พิจารณาดูกันอีกทีว่า สินทรัพย์ที่ดอยอยู่นั้น ยังมีอนาคตและสมควรเก็บไว้ในครอบครองหรือไม่ เช่น กรณีของดอยหุ้น หากพบว่ายังเป็นหุ้นที่ดี มีอนาคต โดยราคาที่ลดลงน่าจะเกิดจากความผันผวนในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือเราอาจมองได้ว่า ราคาหุ้นตอนนี้เป็นเพียงดอยชั่วคราวเท่านั้น เช่นนี้ ให้ทำใจร่ม ๆ แล้วอดทนถือต่อไป ยิ่งถ้ามั่นใจในพื้นฐานหุ้นมาก ๆ รวมทั้งมั่นใจว่า ราคาหุ้นจะกลับมาในอนาคต การตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนก็ไม่ว่ากัน

          แต่ถ้าดูแล้วพบว่าเป็นเพียงหุ้นที่ เคย” ดีก็ตัดใจเสียเถิด อย่าลืมว่า พื้นฐานหุ้นมันเปลี่ยนไปได้ ไม่ว่าจะด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป หรือการมีสินค้าอื่นทดแทน ซึ่งย่อมทำให้กำไรที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำ กลับลดลงจนน่าใจหาย ซึ่งหากเจอกรณีเช่นนี้ นับว่ามีโอกาสของความเป็นดอยถาวรเสียแล้ว กรณีนี้ ให้สูดหายใจลึก ๆ แล้วเตรียมลงดอยกันเลย

วิธีที่ เนื้อร้ายต้องตัดทิ้ง (Cut Loss)
          เมื่อพื้นฐานมันเปลี่ยนไปแล้ว แถมแนวโน้มราคา มีแต่จะปักหัวดิ่งลง ยิ่งช้ำใจกว่านั้นเมื่อเห็นราคาหุ้นตัวอื่นวิ่งขึ้นทั้งตลาด ในสถานการณ์เช่นนี้ ตัดใจขายเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่นเพื่อมาสร้างกำไร ชดเชยขาดทุนดีกว่า จริง ๆ แล้ว การ Cut Loss นั้น เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนสายเทคนิค ที่มักจะกำหนดลิมิตของการขาดทุนไว้ เช่น หากราคาหุ้น ลดลงไปจากราคาที่ซื้อไว้ 20% ต้องทำการ Cut Loss ทันที เพื่อจำกัดการขาดทุนนั่นเอง

วิธีที่ ลดอาการบาดเจ็บด้วยการซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อลดราคาต้นทุนให้ต่ำลง 
          โดยวิธีการนี้ต้องดูแนวโน้มราคาหุ้นประกอบการตัดสินใจด้วย เพราะการซื้อถัวควรทำในแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น
ซื้อหุ้น ราคาหุ้นละ บาท จำนวน 1,000 หุ้น ต้นทุน 1,000 บาท
ต่อมา หุ้น ราคาหุ้นละ 0.65 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.65*1,000 = 650 บาท ขาดทุน 350 บาท
คาดการณ์ว่า 0.65 บาท เป็นราคาต่ำสุดของหุ้น แล้ว ตัดสินใจซื้อหุ้น เพิ่ม 1,000 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.65 บาท ทำให้ต้นทุนหุ้นในพอร์ตรวม 1,000 + 650 = 1,650 บาท โดยหุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.65*2,000 = 1,300 บาท หรือขาดทุน 350 บาท
          ต่อมา หุ้น ราคาหุ้นละ 0.80 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.8*2,000 = 1,600 บาท หรือขาดทุน 50 บาท จากตัวอย่าง การซื้อหุ้นในแนวโน้มขาขึ้นเพื่อถัวให้ราคาเฉลี่ยลดลง ช่วยลดความเสียหายของหุ้นในพอร์ตเหลือ 3% (ขาดทุน 50 บาท จากต้นทุน 1,650 บาท) แต่หากเราไม่ได้ทำอะไรเลย เราจะขาดทุน 20% (ขาดทุน 200 บาท จากต้นทุน 1000 บาท) ทั้งนี้ การคำนวณไม่ได้คิดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายนะ
          ความเสี่ยงจากการแก้พอร์ตด้วยวิธีนี้ คือ หากการคาดการณ์เราผิดพลาดโดยไปซื้อหุ้นเพิ่มในแนวโน้มราคาขาลง พอร์ตเราจะยิ่งติดดอยหนักขึ้นไปอีก ถึงแม้เราจะได้ราคาต้นทุนต่ำลงไปเรื่อย ๆ แต่อย่าลืมว่า มูลค่าหุ้นที่ถือในปัจจุบัน ก็จะยิ่งต่ำลงไปเช่นกัน

วิธีที่ 3 Short Against Port เป็นการขายหุ้นออกบางส่วน 
          เพื่อนำเงินกลับไปซื้อหุ้นตัวเดิมในราคาที่ถูกลงเพื่อให้มีจำนวนหุ้นในพอร์ตเพิ่มขึ้น วิธีนี้เป็นการลดความเสียหายของพอร์ต โดยไม่เพิ่มต้นทุน แต่ต้องอาศัยการคาดการณ์ที่แม่นยำของราคาแนวรับ แนวต้าน เช่น
          ซื้อหุ้น ราคาหุ้นละ บาท จำนวน 1,000 หุ้น ต้นทุนรวม 1,000 บาท
          ต่อมา หุ้น ราคาหุ้นละ 0.7 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.7*1,000 = 700 บาท ขาดทุน 300 บาท
          คาดการณ์ว่า ราคาหุ้น จะลดลงต่ำกว่าแนวรับแรกที่ 0.7 บาท ตัดสินใจขายหุ้น ออกไปก่อน 500 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 0.7 บาท ได้เงิน 350 บาท ทำให้ต้นทุนเหลือ 1,000 -350 = 650 บาท โดยขณะนี้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.7* 500 = 350 บาท ขาดทุน 300 บาท
          ต่อมา หุ้น ราคาหุ้นละ 0.5 บาท ทำให้หุ้นในพอร์ตมีมูลค่า 0.5*500 = 250 บาท ขาดทุน 400 บาท
          วิเคราะห์ว่า หุ้น ที่ราคา 0.5 บาทเป็นจุดต่ำสุด นำเงินที่ขายหุ้น B 350 บาท กลับเข้าซื้อหุ้น ที่ราคา 0.5 บาท ได้ 350 / 0.5 = 700 หุ้น ต้นทุนกลับมาเป็น 650+350 = 1,000 บาท โดยพอร์ตมีมูลค่า 0.5*(500+700) = 600 บาท
          หุ้น ราคาเด้งกลับไปชนแนวต้านที่หุ้นละ 0.80 บาท ทำให้พอร์ตมีมูลค่า 0.8*1,200 = 960 บาท ขาดทุน 40 บาท
          จากตัวอย่าง เราสามารถลดความเสียหายของพอร์ตเหลือ 4% (ขาดทุน 40 บาท จาก 1,000 บาท) แต่หากไม่ได้ทำอะไรเลย พอร์ตของเราจะขาดทุน 20% (ขาดทุน 200 บาท จาก 1,000 บาท) โดยวิธีนี้นอกจากการคาดการณ์ทิศทางแนวโน้มที่แม่นยำแล้ว การคาดการณ์แนวรับ แนวต้านก็สำคัญเช่นกัน

          นี่เป็นเพียงแค่บางตัวอย่างสำหรับการแก้พอร์ตหุ้นด้วยหุ้น ยังมีวิธีที่เราสามารถนำ Derivative เข้ามาช่วยแก้พอร์ตได้ เช่น การ Short Futures ของหุ้นตัวที่เราถืออยู่ เพื่อให้กำไรจาก Futures มาหักล้างกับการขาดทุนจากราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ดอยสูงมาก ๆ การแก้พอร์ตอาจต้องใช้แรงงานและเวลาค่อนข้างมาก ดังนั้นแล้ว เราไม่ควรปล่อยให้พอร์ตขาดทุนมาก ๆ แล้วค่อยหาทางแก้ไข ถ้ารักจะเทรดหุ้นแล้ว อย่าลืมฝึกฝนตัวเองให้มีวินัยในการ Cut loss ด้วยนะจ๊ะ

พอร์ตติดลบหนัก เพราะอะไร ทำไงดี..!

พอร์ตติดลบหนัก เพราะมีมะเร็งร้ายในพอร์ตรึเปล่า?
          หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า มะเร็ง” ในความหมายของโรคร้ายที่จะมาทำลายสุขภาพของเรา มะเร็งมีลักษณะเป็นเนื้อร้ายที่ค่อยๆ แผ่ขยายกัดกลืนแต่ละส่วนของร่างกายเรื่อยๆ จนร่างกายเราเสื่อมสภาพ หากรักษาไม่ทัน ก็ส่งผลถึงขั้นเสียชีวิต แต่รู้รึเปล่าว่าในแง่ของพอร์ตการลงทุน เราก็อาจจะเผลอสะสมมะเร็งร้ายไว้โดยไม่รู้ตัว หรือบางคนอาจจะรู้ตัวแต่ไม่กล้าตัดออก

          ลองมาดูกันว่ามะเร็งร้ายในพอร์ตหน้าตาเป็นยังไง แล้วเราควรจะจัดการกับมันยังไงดีก่อนจะสายเกินไป?



มะเร็งร้ายในพอร์ตการลงทุน หน้าตาเป็นยังไง?
          หากเปรียบพอร์ตการลงทุนเป็นเหมือนร่างกาย เราอาจจะรู้ว่ามีมะเร็งก็ต่อเมื่อเราเห็นว่าร่างกายเริ่มแสดงออกถึงภาวะผิดปกติ มีอาการเจ็บปวด สมรรถภาพของอวัยวะอ่อนแอลง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็มักจะสายไปแล้ว ถ้าเป็นพอร์ตการลงทุน ก็คือพอร์ตที่ขาดทุนจนยากจะกู้คืน
       ถามว่าทำไมถึงยากล่ะเพราะตอนที่เรายังขาดทุนไม่เยอะ เรามักจะคิดว่า เดี๋ยวมันก็กลับมา” เห็นตัวเลขขาดทุนยังน้อยก็ไม่รู้สึกสะเทือนมากนัก แต่ในหลายๆ ครั้ง สถานการณ์มักจะไม่เอื้ออำนวยต่อความคิดของเรา และถึงแม้ว่าเราจะพอรับทราบสถานการณ์รอบตัวว่าเราควรตัดขาดทุน (Cut Loss) 
       แต่บางคนก็ไม่กล้า กลัว และรู้สึกว่าหากอดทนอีกนิดก็อาจจะผ่านพ้นสภาวะนี้ไปก็ได้ โดยลืมฉุกคิดไปว่ามันอาจจะใช้เวลานานมาก กว่าเราจะกลับไปสู่จุดเดิมที่พอร์ตสุขภาพดีได้อีกครั้ง

สาเหตุของมะเร็งร้ายในพอร์ตการลงทุน
          ถ้าเป็นร่างกาย สาเหตุก็จะมาจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของเราที่ทำร้ายร่างกายนั่นเอง พอร์ตการลงทุนก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
          บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “เชื่อเพื่อน” เห็นว่าใครแนะนำสินทรัพย์ไหน ก็ลงทุนตามนั้นโดยขาดการไตร่ตรองหรือศึกษาให้ชัดเจน
          บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “กลัวตกรถ” คือพอเห็นว่าสินทรัพย์ไหนกำลังราคาพุ่งแรง ก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปซื้อด้วยทันที โดยขาดการศึกษาเพิ่มเติมว่าราคาตอนนี้เหมาะสมมั้ย
          บางคนอาจจะมีพฤติกรรม “ขี้เกียจ” คือขี้เกียจศึกษา ขี้เกียจทำความเข้าใจว่าพอร์ตการลงทุนที่ดีควรมีสินทรัพย์แบบไหน เท่าไร ในสถานการณ์แบบไหน
          นอกเหนือจากพฤติกรรมของบุคคลแล้ว สภาพแวดล้อมก็มีส่วน ในแง่ของการลงทุนก็คือสภาวะตลาดนั่นเอง บางทีเราอาจจะไม่ได้มีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งโดยตรง แต่เราเผลอไปอยู่ในจุดที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น
          เข้าตลาดในช่วงที่ฟองสบู่กำลังจะแตก
          ลงทุนในช่วงที่ตลาดซึมยาว
          ลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นขาลง
          ซึ่งอันที่จริงแล้วในหลายๆ กรณี สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบทางอ้อมจากการที่เราไม่ได้ศึกษาตลาดให้ดีพอ แต่บางกรณีก็มีนะที่เราคิดว่าศึกษาดีแล้ว แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อันนี้ต้องเรียกว่าเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ
          หากปล่อยให้มะเร็งร้ายอยู่ในพอร์ตการลงทุนของคุณนานๆ เข้าจะเกิดอะไรขึ้น?
          แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่จะปล่อยให้มะเร็งฝังอยู่ในพอร์ตของคุณนานๆ เพราะนั่นหมายความว่าสุขภาพพอร์ตของคุณจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หนักสุดคืออาจขาดทุนหมดเกลี้ยงเลยก็ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกเพราะคนที่เข้ามาลงทุนนั้นหวังผลตอบแทนกันทั้งนั้น
          ในกรณีที่เบาหน่อย มะเร็งนั้นอาจจะมีวันหาย หากคุณเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถรักษามะเร็งได้ภายในวันสองวัน เป็นไปได้ว่าเราอาจจะต้องใช้เวลานานหลายปีเลยทีเดียวกว่าจะกอบกู้สุขภาพพอร์ตกลับมาให้ไม่ขาดทุนได้ ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น อันที่จริงแล้วหากเรานำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น เราอาจจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็ได้

วิธีป้องกันไม่ให้พอร์ตการลงทุนเป็นมะเร็งร้าย
          แน่นอนว่าวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการป้องกันก่อนที่จะเป็นมะเร็ง หากวันนี้พอร์ตของคุณยังสุขภาพดีอยู่ หรือ ยังขาดทุนเพียงน้อยนิด เราก็ไม่ควรอยู่เฉย หมั่นศึกษาหาข้อมูลความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ว่าเราจะได้เท่าทันทุกสถานการณ์การลงทุน ไม่ตกข่าว รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ เราควรจัดพอร์ตแบบไหนถึงจะตรงตามเป้าหมายการลงทุนที่สุด นอกจากนี้ เราควรตรวจสอบพอร์ตของเราเรื่อยๆ แล้วตั้งคำถาม อย่างเช่น
          สินทรัพย์แต่ละตัวสร้างผลตอบแทนเป็นยังไงบ้าง ตรงตามที่เราคาดหวังมั้ย
          สัดส่วนของสินทรัพย์แต่ละแบบเกินหรือขาดจากที่เราวางแผนไว้ขนาดไหน เราควรปรับพอร์ตรึยัง
          ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เราข้องเกี่ยวอยู่นั้นมีแนวโน้มเป็นยังไงบ้าง
          มูลค่าของสินทรัพย์ที่เราถือตอนนี้สูงเกินไปรึยัง
          เราพร้อมตัดขาดทุนเมื่อขาดทุนไปเท่าไร
          สิ่งที่สำคัญคือตั้งเป้าหมายการลงทุนของเราให้ชัดเจน วางกลยุทธ์ให้ชัดว่าเราจะตัดขาดทุนตอนไหน หมั่นตรวจสอบสุขภาพพอร์ตของเรา และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอยู่เสมอ
          แล้วถ้าพอร์ตการลงทุนของเราเป็นมะเร็งไปแล้วล่ะ?
          มันอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่เราควรหาเวลาพิจารณาว่าเราควรตัดเนื้อร้ายส่วนไหนทิ้งไปบ้างมั้ย โดย ลองถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองดู
          สินทรัพย์ตัวไหนที่ดูเหมือนว่าจะไม่สร้างผลตอบแทนให้เราเลย
          เราสามารถย้ายเงินไปไว้ที่สินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าได้มั้ย
          ธุรกิจไหนที่ดูท่าแล้วไม่น่ามีอนาคตที่ดี อุตสาหกรรมไหนที่มีแนวโน้มเป็นขาลง
          หากเราเจอเนื้อร้ายในพอร์ตการลงทุน เราก็ควรใจแข็งตัดทิ้งออกไปเสีย ก่อนที่มันจะลุกลามแล้วทำให้พอร์ตของเราเสียหายหนักยิ่งขึ้น ตรงนี้เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างยากสำหรับหลายๆ คน เพราะเรามักจะรู้สึกเสียดายและกลัวการเสียเงินจริงๆ ทำให้ไม่กล้าตัดขาดทุน แต่ถ้าเราเปรียบให้สินทรัพย์เป็นเนื้อดีเนื้อร้าย มองว่าการตัดเนื้อร้ายไปบางส่วนจะช่วยให้กอบกู้สุขภาพพอร์ตการลงทุนได้ง่ายขึ้น ก็จะทำให้เราทำใจตัดขาดทุนได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

ไม่กล้าตัดสินใจรักษามะเร็งเอง ให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยวินิจฉัยแล้วรักษาให้ได้มั้ย?
          หากเป็นร่างกาย ถ้าเป็นมะเร็งเราก็ควรไปหาหมอ แล้วถ้าเป็นพอร์ตการลงทุนล่ะหลายๆ คนอาจจะไม่มั่นใจที่จะกอบกู้พอร์ตของตัวเอง อยากจะได้คำแนะนำจากผู้รู้สักคนให้ช่วยมาดูแลรักษาพอร์ตให้ ใครที่กำลังตามหาหมอรักษาพอร์ต มีข่าวดีคือโบรคเกอร์ต่างๆ เค้ามีบริการที่จะช่วยตอบโจทย์ นั่นก็คือซึ่งจะช่วยวินิจฉัยพอร์ตการลงทุนของเราไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะไหน เราสามารถส่งข้อมูลพอร์ตการลงทุนให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยวิเคราะห์ได้ว่าเราควรจัดการพอร์ตต่อไปแบบไหน ควรตัดเนื้อร้ายส่วนไหนทิ้งมั้ย มีส่วนไหนที่กำลังจะเป็นเนื้อร้าย หรือมีส่วนไหนที่ปลอดภัย เก็บไว้ได้ต่อไป

เทคนิคเล่นหุ้นหาเงินใช้รายวัน

เทคนิคเล่นหุ้นรายวัน สร้างรายได้ทุกวัน
          ลองคิดดูเล่น ๆ ถ้าเราอยู่ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยว เราใช้เวลาช่วงพักกินกาแฟตอนสายอยู่ริมทะเลพร้อมครอบครัว หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเช็คหุ้น ทำการซื้อขายเพียงชั่วอึดใจไม่เกิน นาที ก็เสร็จงานพร้อมพักผ่อนกับครอบครัวต่อ ช่วงบ่ายก่อนตลาดปิด หยิบโทรศัพท์มาเช็คหุ้นอีกรอบ ก่อนทำการซื้อขายอีกครั้งเป็นอันเสร็จงาน ได้เงินเข้าบัญชีเพิ่มเบ็ดเสร็จหนึ่งหมื่นบาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวครั้งนี้เกือบทั้งหมด แถมยังไม่ต้องทำงานอะไรมากอีกต่างหาก


          เด็กจบใหม่วาดฝันไว้อย่างนี้ จริง ๆ ความจริงคือมันไม่ง่ายอย่างนั้น ดูเหมือนจะแทบไม่มีอยู่จริงในทางปฏิบัติ อาจมีความใกล้เคียงบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดได้บ่อย ๆ เพราะการเล่นหุ้นโดยเฉพาะการเล่นหุ้นแบบ Day Trade เพื่อให้ได้กำไรนั้น การเข้าซื้อและขายในจังหวะที่ถูกต้องเท่านั้น จึงจะได้กำไรจากราคาส่วนต่าง (Capital Gain) ลักษณะการเล่นแบบ Day Trade นี้ ถ้าดูกันตามลักษณะการเล่นของคนไทยแล้ว การเล่นของอาซิ่ม อาแปะที่แต่ละคนมีพอร์ทหลักล้าน นั่งรวมตัวกันดูตารางหุ้นตามบริษัทหลักทรัพย์ชนิดเฝ้าเกาะติดทั้งวัน ซื้อหุ้นแบบเฮไหนเฮไปตามกัน เป็นลักษณะที่เรียกว่า เม่าแบบโบราณ
          ถ้าเม่าสมัยใหม่ส่วนใหญ่เป็นพนักงานประจำ เพียงแต่เม่าสมัยใหม่มักไม่มีเวลาจับตาดูพอร์ทเฝ้าพอร์ทกันทั้งวัน เพราะก็ต้องทำงานด้วย ลักษณะการเล่นจึงมักเกิดจากการได้ยินข่าวนั้นข่าวนี้ชนิดไม่ใช่ข่าวกรอง เพียงเพราะว่าหลงเชื่อคนที่บอกมาอ้างว่าเป็น ข่าววงใน” เมื่อทราบข่าวแล้ว ข่าวก็ยิ่งแพร่กระจายเร็วว่าเชื้อไวรัส สามารถสร้างกระแสปั่นป่วนส่งผลมากพอให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิดความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างมีนัยยะ และเมื่อเม่าทั้งหลายติดเบ็ด ก็มักจะตกเป็นเครื่องมือให้กลุ่มนายทุน หรือทุนใหญ่เพียงไม่กี่มือ ทำการเทขายทำกำไรแบบหมดหน้าตัก ราคาหุ้นดิ่งปักหัว พวกเม่าหลายตัวตายคากองเพลิง อีกหลายตัวถอยไม่ทันปล่อยไม่ออกติดดอยหนาว หลายตัวนกรู้ไม่โลภและมีประสบการณ์ ก็รอดตายกันแบบเจ็บนิด ๆ แต่ก็มีจำนวนน้อยเหลือเกิน
          การเล่น Day Trade แบบนี้เรียกว่า เล่นแบบใช้ประสบการณ์และความรู้สึก รบสิบครั้ง ได้ห้าครั้งแบบนิด ๆ หน่อย ๆ ได้ครั้งหนึ่งแบบเป้ง ๆ เสียสี่ครั้งแบบเจ็บนิด ๆ ไม่เข้าเนื้อมาก อีกครั้งโดนหนักแบบเจ็บตัวร้องโอย แต่เรื่องบางเรื่องเจ็บแล้วไม่ค่อยอยากจะจำ โดยเฉพาะเรื่องที่เจ็บแล้วไม่เกิดภาระทางการเงินต่อเนื่อง ถือว่าเสียแล้วเสียไป แต่ถ้าเกิดภาระการเงินแบบพัวพันต่อเนื่องไปถึงกระแสเงินสดที่ใช้ในชีวิตประจำวันแล้วล่ะก็ เป็นเรื่องที่จะต้องจำไว้เป็นบทเรียนสำคัญเลยทีเดียว
          การเล่นแบบที่ว่ามาทั้งหมดนี้ จะว่าไปแล้วเป็นการเล่นหุ้นแบบเล่นกับความเสี่ยงโดยแท้จริง ผู้ที่มีความรู้และมีประสบการณ์การเล่นหุ้นจริง ๆ ไม่ทำกัน เพราะไม่มีใครอยากเอาเงินก้อนใหญ่มาเสี่ยง โดยที่ไม่รู้ทิศทางว่าเงินจะขึ้นหรือจะลง การเล่นหุ้นของผู้มีประสบการณ์มักแบ่งพอร์ทหุ้น 70% ไปลงทุนในหุ้นประเภทหุ้นลงทุนระยะยาวหรือที่เรียกว่าหุ้น VI ส่วนอีก 30% จะนำมาเล่นหุ้นแบบ Day Trade แต่การเล่นหุ้นแบบ Day Trade ระยะสั้นของนักเล่นหุ้นมืออาชีพ ใช้ความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจ รวมถึงใช้ข้อมูลข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ มาประกอบในการตัดสินใจในการซื้อและขายหุ้นแต่ละตัว
          สิ่งที่สำคัญที่สุดหรือจะเรียกว่าเป็นคีย์สำคัญในการเล่นหุ้นรายวันก็คือ การเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวหุ้นตัวที่สนใจจะเข้าลงทุน รวมถึงการศึกษาและทำความเข้าใจกับการประกอบธุรกิจของบริษัทนั้น ๆ เป็นอย่างดี ศึกษางบการเงินย้อนหลังไม่น้อยกว่า ปี ติดตามข่าวสารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องจนเข้าใจ จึงจะเริ่มเข้าลงทุน
          จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความเข้าใจหุ้นตัวหนึ่ง ๆ ได้ แต่มันมีความจำเป็นอย่างมากในการเพิ่มความมั่นใจให้กับเงินลงทุนของคุณ ที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้เฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของหุ้นนั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ดูแค่ราคาว่าวันนี้ปิดเท่าไหร่ แล้วพรุ่งนี้ปิดเท่าไหร่ แต่ให้ดูด้วยว่า Volume การซื้อขายในภาวะปกติเป็นเท่าไหร่ แรงซื้อแรงขายต่อวันเป็นอย่างไร เมื่อมีเหตุการณ์ผิดปกติส่งผลกระทบกับ Volume มากน้อยเพียงใด
          เมื่อเข้าใจลักษณะหรือ Character ของหุ้นนั้น ๆ แล้ว ก็ต้องอาศัยเทคนิคการดูกราฟ ซึ่งมีรายละเอียดมาก มีหนังสือหลายเล่มเขียนเจาะเฉพาะเรื่องเทคนิคดูกราฟหุ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งจำเป็นที่นักเล่นหุ้นแบบ Day Trade (ที่ไม่ใช่แมงเม่า Day Trade) ต้องรู้และเข้าใจให้ถ่องแท้
เมื่อถึงตอนนี้หลายคนอาจเกิดคำถาม แล้วเราจะเลือกจับตามองดูหุ้นตัวไหนดีล่ะ ในเมื่อหุ้นมีเป็นร้อยเป็นพันตัว
          เป็นคำถามที่ถึงแม้ว่าเกือบจะเป็นคำถามโลกแตก แต่ก็อาจบอกเป็นหลักคร่าว ๆ สั้น ๆ ได้ อย่างเช่น หุ้นที่มักเป็นเป้าหมายสำหรับการเล่นหุ้นแบบ Day Trade ให้ดูที่หุ้นที่อยู่ใน Most Active List หรือหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวมาก ลองสังเกตดูทุก ๆ วัน อาจมีซ้ำบ้าง ไม่ซ้ำบ้าง ให้ดูทุก ๆ วัน จนชินตา (ส่วนใหญ่มักเป็นหุ้นกลุ่มแบงค์ พลังงานและสื่อสาร) การที่หุ้นเคลื่อนไหว (Active) มาก แสดงว่าเป็นหุ้นที่มี Volume การซื้อขายมากนั้น หมายความว่า ราคาหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงรายวันแบบที่สามารถสร้างกำไรขาดทุนให้นักลงทุนได้ หากลงทุนกับหุ้นที่ไม่มีแรงซื้อแรงขาย แม้ตลาดมีความเคลื่อนไหวผันผวนระดับกลาง ๆ คุณจะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าหุ้นตัวนั้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดในชั่วโมงต่อไป เป็นการเสี่ยงอย่างแท้จริง
          การเลือกหุ้นประเภทราคาถูกมากหลักสิบบาทหรือแม้แต่หลัก 3-4 บาท ถึงหลักสตางค์ มีความเสี่ยงต่อภาวะการตกใจ (Panic) ของตลาด เพราะมีความ Sensitive สูง เพราะหุ้นราคาไม่แพง นักลงทุนรายย่อยหลักไม่กี่พันบาทก็สามารถซื้อได้ หากเกิดภาพภาวะผันผวนไม่ว่าจะเป็นไปด้วยกลไกตลาด หรือถูกปั่นป่วนโดยตรง หุ้นกลุ่มนี้ย่อมเคลื่อนไหวรุนแรง และหุ้นกลุ่มนี้นี่เองที่มักเป็นเป้าหมายโจมตีของพ่อค้าทุน เพราะปั่นง่ายปล่อยข่าวง่ายนั่นเอง
          เทคนิคเล่นหุ้นรายวัน การเล่นหุ้นแบบ Day Trade ให้ได้เงิน อาศัยทั้งประสบการณ์ ความรู้ และเวลา หากผู้เล่นที่ขาดทั้ง ปัจจัย หรือมีเพียงปัจจัยประสบการณ์ มีโอกาสเสี่ยงเสมอ ขอให้นักลงทุนประเมินตัวเองก่อนด้วยความสัตย์จริง อย่าคิดว่ารู้ดี เพราะเซียนและเทพเจ้าทุกชั้นฟ้าต่างก็พลาดพลั้งให้ตลาดหุ้นมาแล้วทุกผู้ทุกคน เมื่อประเมินระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้แล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะเดินหน้าอย่างไร อย่าลืมว่าเสี่ยงมากก็ย่อมได้มาก และเสี่ยงมากก็ย่อมเสียมากเช่นกัน


เล่นหุ้นยังไง ให้ได้วันละ 1,000 บาท

     คนเล่นหุ้น เป็นไม่ใช่คนที่กดโทรศัพท์ทำการซื้อขายเป็นเท่านั้น แต่หมายถึงคนที่เข้าใจความหมายของค่าดัชนี ตัวเลขชี้วัด รวมถึงติดตามข่าวสารรอบด้านทั้งไทยและต่างประเทศ เข้าใจระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดี เพราะการเข้าใจข้อบ่งชี้ที่อาจส่งผลต่อตลาด รวมถึงหุ้นตัวที่อยู่ใน “Focus” นั้น ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเล่นหุ้น ให้ได้กำไรนั่นเอง




          การเล่นหุ้นให้ได้เงินวันละ 1,000 บาทนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่การจะขายหุ้นให้ได้กำไรทุกวันอาจเป็นเรื่องยากและไม่มีความจำเป็น แต่ถ้าหากบอกว่าเล่นหุ้นเดือน ๆ หนึ่งให้ได้กำไรเฉลี่ยวันละพันบาท อาจจะง่ายและ Practical กว่า ซึ่งการเล่นให้ได้เงิน แบบนี้ถือเป็นเดย์เทรดที่มีความเสี่ยงเสมอ แต่ผลตอบแทนมักคุ้มค่า เข้าตำราเสี่ยงมากได้มาก แต่ถ้าผิดพลาด ชักช้า ตัดสินใจไม่เด็ดขาด นอกจากจะสูญเสียโอกาสในการทำกำไรแล้ว ยังมีสิทธิ์ขาดทุนแบบไม่ตั้งตัว

       คนเล่นหุ้นเป็นมักไม่เกิดปัญหาติดดอย คนเล่นเป็นมักตัดสินใจ cut loss แล้วเอาทุนมาหมุนสร้างกำไรใหม่ ไม่มัวมาหมกมุ่นดราม่าเฝ้าทะนุถนอมเช้าเย็นรอดูเมื่อไหร่มันจะขึ้นมาจะได้ปล่อย แต่นักลงทุนที่ทำอย่างนี้ได้ส่วนใหญ่มักเป็นนักเล่นหุ้นที่มีประสบการณ์ จึงมีความมั่นใจและความกล้าที่จะ cut loss เพราะเขารู้ว่าเขาจะเอาเงินก้อนนี้ไปทำทุนอย่างอื่นอีก



          แต่ว่าหุ้นในกระดานมีอยู่หลายร้อยตัว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวไหนจะขึ้น ตัวไหนจะลง เพราะความที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีมาก จึงได้มีการแบ่งประเภทธุรกิจเป็นหมวด ๆ เช่น หมวดปิโตรเลียม หมวดการเงินการธนาคาร เป็นต้น เพื่อดูภาพรวมในแง่ของอุตสาหกรรม เพื่อที่จะได้ศึกษาย่อยเป็นรายบริษัทอีกต่อหนึ่ง การเล่นสั้นแบบเดย์เทรดคือการซื้อขายวันต่อวัน ทำให้รอบในการทำกำไรมีมาก การที่จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนกำลังขึ้น และขึ้นไปถึงเท่าไหร่ แล้วถ้าลงจะลงถึงเท่าไหร่ ไม่มีใครตอบได้



          บางคนนั่งเฝ้าดู Volume ซื้อขาย สังเกตแนวโน้มแล้วค่อยตั้งซื้อตั้งขาย ซึ่งก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่ง่ายที่สุด และสามารถทำได้โดยไม่ต้องศึกษาลักษณะหุ้นหรือบริษัทนั้น ๆ เท่าใดนัก ข้อเสียคือเวลาได้อาจได้น้อยหรือไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากไม่เข้าใจปัจจัยพื้นฐานหุ้นตัวนั้น แค่วิเคราะห์แนวโน้มแล้วก็เล่นเลย ที่สำคัญเป็นการเล่นที่เสี่ยง เพราะแมลงเม่าหลายคนก็เล่นแบบนี้เอง ข้อได้เปรียบของผู้เล่นประสบการณ์คือเข้าเร็วแล้วออกได้ และการเล่นแบบนี้มีความจำเป็นที่จะต้องจ้องกระดานหุ้นแบบกินนอนกับตารางหุ้น เปิดค้างไว้ 3-4 หน้าจอตลอดเวลา มนุษย์เงินเดือนแมลงเม่าน้อยเสียเปรียบเพราะเปิดซื้อขายทิ้งไว้ ไม่มีเวลาตามความเคลื่อนไหว จึงมักออกไม่ทันและติดดอยในที่สุด


          การเป็นนักลงทุน VI จึงอาจเป็นคำตอบของคนที่ไม่ชอบความหวือหวา เพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว เป็นการลงทุนที่มองข้ามเรื่องการปันผลและแคปปิตอลเกน การลงทุนแบบ VI คือการลงทุนเพื่อความมั่นคงที่แท้จริง เพราะการลงทุน VI คือการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน เริ่มต้นด้วยการศึกษาหุ้นจากบริษัทที่น่าสนใจ ทั้งนี้บริษัทนั้น ๆ ต้องมีความมั่นคงและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาแล้วพอสมควร ศึกษางบการเงินบริษัทนั้น ๆ ย้อนหลังอย่างน้อย ปี ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวสำคัญภายในบริษัทนั้น ๆ เช่น

          การควบรวมบริษัท เปลี่ยน CEO เข้าซื้อลงทุนในกิจการข้ามชาติอื่น ๆ หรือลงทุนขยายกำลังการผลิต หรือการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ ดังนั้นถ้าสนใจหุ้นบริษัทไหนก็ให้ติดตาม Newsletter ของบริษัทนั้น หุ้นกลุ่ม VI จึงมักมีราคาค่อนข้างสูงหลักร้อยบาท อาจถึง 3-400 บาท ทำให้ Volume ในการซื้อมักไม่ได้มาจากรายย่อยเล็ก ๆ เช่น ถ้าต้องการจะซื้อหุ้น SCN สัก 100 หุ้นก็ต้องใช้เงินสามหมื่นเกือบสี่หมื่นบาทเลยทีเดียว

          การลงทุนแบบ VI จึงควรมีเงินก้อนสักหน่อยเพื่อลงทุนในหุ้นนั้น ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็น VI แล้วจะปล่อยทิ้งไม่ติดตามข่าวสาร การเป็นนักลงทุนอย่างไรเสียก็ต้องติดตาม เพราะในภาวะที่ตลาดผันผวนหากเราไม่ติดตาม เราก็อาจเสียโอกาสในการทำกำไรได้ เช่น ในภาวะปกติหุ้นน้ำมัน AAA มีราคา 250 บาท เราถือหุ้นตัวนี้อยู่ 10,000 หุ้น แต่ช่วงที่ผ่านมา อิหร่านถูกกดดันเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ จนต้องยอมลดกำลังการผลิตน้ำมัน และยอมให้ยูเอ็นเข้าตรวจสอบอาวุธนิวเคลียร์ หากตอนกลางคืนเราติดตามข่าว เราก็ตั้งขายหุ้นของเราทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้

          เพราะเรารู้แน่ว่าหุ้นกลุ่มน้ำมันจะต้องขึ้นทั้งกลุ่ม การตั้งขายก่อนเนิ่น ๆ จะได้เปรียบกว่าตั้งขายก่อนตลอดเปิด เพราะเราจะอยู่คิวแรก ๆ ในการขาย เมื่อตลาดเปิดเราต้องเกาะติดเพื่อดูว่าหุ้นไปถึงราคาที่ตั้งขายหรือไม่ แนวโน้มเป็นอย่างไร หากพุ่งแรงมาก เราอาจยกเลิกการขายก่อน แล้วตั้งขายในราคาที่สูงขึ้นไปอีก เป็นต้น

          เมื่อขายได้แล้ว โดยธรรมชาติกระแสบูมข่าวจะทำให้หุ้นพุ่งหวือหวาอยู่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น และหุ้นที่มีการสวิงวันนี้ขึ้น วันต่อมาลง วันต่อมาอีกก็จะขึ้นเป็นกระดานหกโดยธรรมชาติ เราอาจหาจังหวะเข้าช้อนซื้อ และถึงแม้ว่าหุ้นตัวนั้นจะยังลงอีกก็ไม่ต้องกังวล อย่าลืมว่าหุ้นพื้นฐานดี ศึกษามาเป็นอย่างดี บริษัทไม่ล้มง่าย ๆ เมื่อราคาลงอีก หากเรามีเงินทุนอยู่ในมือ เราก็ซื้อถัวเข้าไปอีก ทำให้เราได้ของถูก พร้อมกำไรอยู่แล้วในกระเป๋าอีกก้อน นั่นก็เพราะการติดตามข่าวสารนี่เอง

          แต่นักลงทุน VI หลายคนไม่มีเวลาเกาะติด หลายคนเลือกลงทุนแบบออม ในภาวะตลาดปกตินั้น นักลงทุนประเภทนี้ควรแบ่งเงินออมส่วนหนึ่งทุก ๆ เดือนเข้าซื้อหุ้น VI เก็บไว้ เป็นการเก็บเล็กผสมน้อย พนักงานเงินเดือนระดับกลาง ๆ หากมี Flow เหลือสักประมาณเดือนละหมื่น ก็ซื้อเก็บเดือนละหมื่นบาท ถือเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในระดับหนึ่ง ไม่ต้องปวดหัวกังวลเฝ้าพอร์ต เอาเวลาไปทำงานอย่างอื่นไป ส่วนตรงหุ้น VI ก็ให้เงินทำงานของมันเอง


เล่นหุ้นยังไง ให้มีกำไร...!

       ทุกครั้งที่ได้ยินคนรอบๆ ตัว เพื่อนสนิทมิตรสหายหลายๆ ท่าน เริ่มพูดคุยกันว่า อยากจะเริ่มต้นเล่นหุ้น” ทีไร บอกตรงๆ ว่าใจสั่นขึ้นมาทุกที เพราะใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่คนหลายคนสนใจเรื่องการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับตัวเอง แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกหวั่นๆ เพราะทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ นั่นแปลว่าจะมี มือใหม่” หลายๆ คนที่ขาดทุนจนเข็ดและขยาดตลาดหุ้นกันไปเลยทีเดียว



          ใครหลายคนมักจะตั้งคำถามว่า ถ้าอยากจะเล่นหุ้นต้องมีอะไรบ้าง คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ คือ ต้องมี เงิน” เป็นอันดับแรก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเงินที่เรามี นั่นคือ ความรู้และความเข้าใจที่ถูกวิธีในการลงทุน” ต่างหาก

          และจากประสบการณ์ลงทุนของตัวผู้เขียนเอง ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับการขาดทุน (ติดดอย) และกำไร (ขายหมู) มานาน… ร่วมกับการได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกับนักลงทุนหลายๆ ท่าน ทำให้พบว่าแท้ที่จริงแล้ว การเล่นหุ้นให้ได้กำไรตลอดเวลานั้นเป็นไปได้! (โอ้ว มายก็อด) แต่ต้องทำตามเคล็ดลับดีๆ ทั้ง ข้ออย่างเคร่งครัด 

          เอาล่ะ.. เรามาดูกันเลยดีกว่าว่า เคล็ดลับในการเล่นหุ้นให้ได้กำไรทั้ง ข้อนี้ มีอะไรบ้าง

  
1. เปลี่ยนคำว่า เล่น” เป็น ลงทุน
          สิ่งแรกเราต้องเข้าใจว่า ความแตกต่างระหว่างของคำว่า เล่นหุ้น” กับ การลงทุนในหุ้น” นั่นคือ เป้าหมาย“ ในการลงทุน เพราะคำว่า เล่นหุ้น” นั้น มักจะหมายถึงการเล่นเก็งกำไรในระยะสั้นๆ  ซึ่งต้องการกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น แต่ การลงทุนในหุ้น” ต้องการความมั่นคงในระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผล หรือมูลค่าของหุ้นในอนาคต

          ดังนั้นสำหรับมือใหม่ทุกคน ขอแนะนำให้เริ่มต้นตั้งเป้าหมายที่การลงทุนระยะยาวเป็นลำดับแรก  อย่าคิดที่จะซื้อขาย เล่นๆ” เพื่อหวัง เก็งกำไร” เพราะสุดท้ายแล้วมักจะจบลงที่ลุ้นกันจนตัว เกร็ง” ทุกทีเลยเชียว

  
2. ต้องใช้ เงินเย็น” เท่านั้น
          เงินเย็น คือ เงินที่เราสามารถเสียไปโดยที่ไม่เดือดร้อน หรือพูดง่ายๆ คือ เงินที่หายไปก็ไม่เสียดายนั่นเอง เพราะการลงทุนในหุ้นนั้นมี ความเสี่ยง” ดังนั้นถ้าหากเราเอาเงินที่เกี่ยวข้องกับการใช้ ชีวิต” ไปเสี่ยง แบบนั้นคงไม่ดีใช่ไหม

          แต่การใช้เงินเย็นก็ไม่ได้แปลว่าไม่เสี่ยง จะเงินร้อน เงินเย็น เงินคนอื่น (เอ๊ะ!) เงินแบบไหนมันก็เสี่ยงทั้งหมดเมื่อมาลงทุนในหุ้น แต่ข้อได้เปรียบของเงินเย็น คือ เป็นเงินที่ไม่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน แต่มันอาจจะเจ็บใจเล็กน้อยเมื่อขาดทุน (ฮึ่ม!) เพราะหลายๆ ตัวอย่างที่ผิดพลาดและขาดทุนแบบสุดกู่ ไปไม่กลับหลับไม่ตื่น คือ ใช้เงินกู้ในการเล่นหุ้น พอเล่นแล้วเสีย คราวนี้ก็เพลียกว่าเดิมเพราะต้องมีภาระทั้งดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในชีวิตอีกด้วย

          นอกจากเงินเย็นแล้ว สิ่งแรกที่ควรต้องมีก่อนจะเริ่มลงทุน คือ เงินออม” โดยอย่างน้อยต้องมีเงินออมไว้จำนวน 3-6 เท่าของรายจ่าย เผื่อไว้สำหรับเหตุฉุกเฉินและไม่คาดฝันด้วย

  
3. รู้จัก หุ้น” ให้ดีเสียก่อน
          คำว่ารู้จักหุ้นให้ดีเสียก่อน ไม่ได้แปลว่าให้ไปทำความรู้จัก สวัสดีทักทายหุ้นที่เราต้องการลงทุน แต่ให้รู้ก่อนว่า หุ้นตัวนั้นที่เราเลือก ประกอบธุรกิจอะไร มีผลการดำเนินงานอย่างไร ข้อมูลต่างๆ บทวิเคราะห์ ข่าว ผู้บริหาร วิสัยทัศน์ และอื่นๆ อีกมากมายที่เราต้องรู้ ถ้าถามว่ารู้แค่ไหนดี บอกตรงๆ ว่ารู้ยิ่งเยอะยิ่งดี และเมื่อรู้เยอะแล้ว ต้อง “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” ข้อมูลให้เป็นด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใจและวางแผนการลงทุนได้อย่างถูกต้อง

          ข้อผิดพลาดใหญ่ๆ ที่มือใหม่เจอเสมอ นั่นคือ “หุ้นเพื่อนบอก” เพื่อนเรานี่แหละตัวดี บอกข่าวมาว่าหุ้นตัวนี้ดีๆๆ ให้เรารีบๆ ซื้อ แถมบอกราคาเป้าหมายไว้เสร็จสรรพ แต่ถ้าเราซื้อไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลอะไรเลย แต่รีบซื้อเพราะกลัวว่าจะ ตกรถ” (หุ้นขึ้น แต่ไม่ได้ซื้อ) แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผ่านไปสักพัก เรากลับ ติดดอย” แทน เพราะว่าเจ้าเพื่อนตัวดีมันไม่เคยบอกเลยว่า ราคาที่เหมาะจริงๆ ของหุ้นตัวนี้คือเท่าไรกันแน่

          คำที่น่ากลัวอีกคำ คือ “วงใน” หรือ “เค้าว่ามา” รับประกันเลยว่า ถ้าข่าวหลุดมาถึง มือใหม่” เมื่อไรแล้วล่ะก็ ข่าวนั้นคงไม่ใช่ วงใน” แล้วล่ะ

  
4. รู้จัก ตัวเรา” ให้ดีพอ
          รู้ก่อนว่า .. เรารับความเสี่ยงได้มากแค่ไหนกันแน่ เพราะบางคนเล่นหุ้นเพราะหวังกำไรเยอะๆ แต่รับความเสี่ยงไม่ได้ ผลสุดท้ายต้องทรมานจิตใจแทน ดูเช้า ดูเย็น ดูทั้งวัน งานการไม่ได้ทำเพราะกลัว อันนี้ก็ไม่ไหวนะ

          อีกอย่างที่สำคัญ และต้องทบทวนตลอดเวลา นั่นคือ เป้าหมายที่เราต้องการในการลงทุน และถามตัวเองอยู่เสมอว่า วิธีการและสิ่งที่เราทำในการลงทุนนั้น มันทำให้เราเดินไปถึงเป้าหมายได้จริงๆ หรือเปล่า

  
5. รักษาต้นทุนก่อนคิดถึง กำไร
          วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด คือ “ไม่ขาดทุน” หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ถ้าเล่นหุ้นแล้วไม่หวังกำไรจะเล่นไปทำไมใช่ไหม แต่ความหวังที่อยากจะได้กำไรสูงๆ นั่นแหละ ทำให้เราทุกคนเกิดความโลภในการลงทุน จนบางครั้งมองข้ามสิ่งสำคัญหลายๆ อย่างไป ดังนั้นในการตัดสินใจซื้อหุ้นทุกครั้ง เราต้องถามตัวเองย้ำๆ ว่า เราจะลดความเสี่ยงในการขาดทุนให้ต่ำที่สุดได้อย่างไร อย่าลืม ศึกษาข้อมูลให้ดี ดูความเสี่ยงให้เหมาะสม ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เพราะเราต้องถือหุ้นตัวนี้ไปอีกนานแสนนาน

          สำหรับ ข้อที่ว่ามานี้ อาจจะเป็นเพียงแนวคิดเบื้องต้นในการลงทุนสำหรับมือใหม่ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะเน้นย้ำก่อนจากกันก็คือ ก่อนจะลงทุนอะไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องเตรียมให้พร้อมที่สุดคือ ความรู้  แต่สิ่งที่จะบอกว่าความรู้ของเราถูกต้องหรือไม่ คือ ประสบการณ์  ดังนั้นขอให้ทุกคน สร้างสรรค์ความรู้อย่างสม่ำเสมอ และสร้างเสริมประสบการณ์ในการลงทุนให้มาก เชื่อเหลือเกินว่า โอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนของทุกคนคงจะไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอนนะจ๊ะ ...


ข้อคิดสำหรับมือใหม่ในวันที่ตลาดหุ้นตกหนัก ...ทำไงดี !!

ในช่วงที่ตลาดหุ้นตกปรับฐานแรง เปิด Streaming มาแล้วหน้าจอแดงเถือก นักลงทุนมือใหม่ต้องทำยังไงลองอ่าน ข้อคิดสั้น ๆ นี้ไว้ใช้เตรียมรับมือกันค่ะ



1. มีสติ อดทน หาจังหวะลงทุน 
          เนื่องจากสภาวะตลาดหุ้นที่กำลังตื่นตระหนก (Market Panic) ทั้งจากนโยบายดอกเบี้ยของ Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือ จากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐปรับเพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ อาจส่งผลต่อเงินทุน Fund Flow ที่อาจไหลกลับสู่อเมริกา จึงสร้างความแตกตื่นให้แก่นักลงทุน สิ่งแรกๆ ที่มือใหม่ต้องทำ คือ การมีสติ อดทน รอดูสถานการณ์ หาจังหวะการลงทุน อย่าเพิ่งตกใจไปตามตลาดก่อน
          มือใหม่ควรหันกลับมาดูหุ้นในพอร์ตหุ้นของเราก่อนว่า มีปัจจัยลบ หรือข่าวลือที่มากระทบตลาด มันเกี่ยวข้องกับหุ้นของเราโดยตรงหรือไม่ มีผลมากน้อยต่อบริษัทมากน้อยเพียงใด แล้วปัจจัยนี้จะส่งผลระยะสั้นหรือระยะยาวต่อหุ้นที่ถืออยู่... พอร์ตการลงทุนของเรามีการกระจายความเสี่ยงไว้หรือยัง หรือไปลงใดสินทรัพย์ใดมากเกินไปหรือเปล่า ?

2. วางจุดตัดขาดทุน Stop Loss  
          ถ้าพบว่ามีหุ้นในพอร์ตที่อาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากตลาดหุ้นที่กำลังตกลงอยู่นี้ จนเกิดแรงเทขายอย่างหนัก จนบางทีทำให้หุ้นติดลบมากกว่า 30-70% ได้ สุดท้ายแล้วทำให้นักลงทุนไม่เหลือเงินไว้ลงทุนอยู่รอดต่อไปได้ในตลาดหุ้นต่อไป 
          ดังนั้นนักลงทุนมือใหม่ ควรกำหนดจุด stop loss เอาไว้ให้ชัดเจน ทำตามแผนการลงทุนที่เราวางไว้ เช่น 5-15% แล้วแต่ว่าคุณจะสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน ! หรือวางจุด stop loss ตามแนวรับที่มีนัยสำคัญ ณ จุดต่างๆ ของกราฟราคาหุ้นนั้น ๆ  
          "อย่าลืมว่า ถ้าเงินสดหมดกระเป๋า คุณก็หมดโอกาสช้อนซื้อหุ้นดีๆ ตอนมันราคาถูก ! "

3. จัดทำ Watch-list หุ้นไว้ ทำแผนการลงทุน
          หุ้นที่ยังพื้นฐานดี ธุรกิจยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้ แต่ราคาหุ้นในระยะสั้นถูกแรงกดดันจากตลาดจนโดนเทขายมาหนัก เพราะตลาดหุ้นกำลังตกใจ "นักลงทุนอาจจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส" เก็บหุ้นที่สนใจที่ทำการบ้านมาอย่างดีแล้วเข้าพอร์ตได้ เนื่องจากมีมูลค่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง หรือมีส่วนเผื่อความปลอดภัย (margin of safety)
          การที่หุ้นตกลงมามากนั้น เป็นโอกาสที่เราจะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพทางธุรกิจดี ที่เดิมเราไม่อยากซื้อเพราะราคาหุ้นแพงเกินไป 
          หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ยังรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อยู่ หรือมีโมเดลธุรกิจที่มั่นคง ทนทานต่อเศรษฐกิจตกต่ำได้ ย่อมที่จะได้เปรียบต่อการผันผวนของตลาดหุ้น ในระยะยาวมีโอกาสฟื้นกลับมาได้มากกว่าหุ้นที่พื้นฐานกิจการไม่แข็งแกร่ง
  
4. ข้อผิดพลาดถือเป็นบทเรียนสำคัญ 
          หาสมุดจดบันทึกดีๆ ซักเล่ม เพื่อไว้จดบันทึกข้อมูล-ข้อผิดพลาด ว่าในการเทรดหุ้นในแต่ละครั้งว่า "ทำไมเราถึงซื้อขายหุ้นตัวนี้... เพราะอะไร... มันน่าสนใจ... ดีหรือไม่ดียังไงบ้าง..."
แล้วทำไมถึงผิดพลาด ! ถ้าคุณจดใส่สมุดแล้วคุณจะไม่เอาอารมณ์ชั่ววูบมาตัดสินใจซื้อ-ขายหุ้น เชื่อซิ! เพื่อป้องกันความผิดพลาดซ้ำรอยแผลเดิม เจ็บแล้วจำ ! 
          เมื่อเวลาผ่านไป เชื่อว่า หุ้นก็มักจะกลับมาสู่ราคาที่มันควรเป็นตามปัจจัยพื้นฐานของมัน ที่จริงมันก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้ง  ดังนั้นถ้าเรา ถือหุ้น” ที่ทำธุรกิจที่เรามั่นใจว่า จะสามารถฝ่ากระแสของเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยได้ เป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรกระทำ

5. ปิดหน้าจอ ออกไปพักผ่อนซะ..นะจ๊ะ
          เงินทุนที่นำมาลงทุนควรที่เงินเย็นมา หรือเป็นเงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาสั้นๆ  ไม่ได้กู้ยืมมาเทรดหุ้น ไม่ได้เอามาร์จิ้นไปเล่น หลายคนยืมเงินมาเทรด ยิ่งพอหุ้นตกยิ่งเฝ้าหน้าจอ หวังจะรีบเอาคืนให้ได้  กลายเป็นว่าที่วางแผนมาซะดิบดีโดนอารมณ์ชั่ววูบพาลงเหว ...นักลงทุนมือใหม่ควรเน้นมองการลงทุนระยะยาว เติบโตไปกับธุรกิจ ที่มีปันผลค่อนข้างสูง และหุ้นมีโอกาสเติบโตได้อีกในอนาคต และที่ราคาหุ้นยังไม่แพงจนเกินไป 
          ดังนั้นถ้าคุณวางแผนการเงินและจัดพอร์ตการลงทุนมาเป็นอย่างดีแล้ว จงอย่าหมกมุ่น ปิดจอ ออกไปพักผ่อน ตั้งค่าแจ้งเตือนไว้เวลาราคาหุ้นมาถึงจุดที่เรากำหนดไว้ รอให้ความคิดคุณตกผลึก หายตกใจก่อน ดั่งสำนวนที่ว่า "Stay Calm, Stay Invest"  คือ ทำใจให้สงบและลงทุนต่อไป  นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จทุกคน ล้วนแล้วแต่วางแผนการลงทุนล่วงหน้ากันทุกคน วางแผนดี มีชัยไปกว่าครึ่ง ลองดู


          อย่างที่นักลงทุนระดับโลก วอเร็น บัฟเฟตต์ แนะนำว่า "การทำนายตลาดหุ้น แค่ทำให้ผู้ทำนายดูดีขึ้นเท่านั้น น่าประหลาดใจที่นักลงทุนจำนวนมากเชื่อนักทำนายตลาดอย่างมากมาย แต่เมื่อย้อนหลังแล้ว การทำนายตลาดหุ้นนั้นกลับไม่ได้มีการบันทึกผลลัพธ์ของความน่าเชื่อถือเอาไว้เลย"


มนุษย์เงินเดือนอยากมีเงิน 1,000,000 ใน 10 ปี ต้องวางแผนอย่างไร

          มนุษย์เงินเดือนอย่างเราคงคิดเสมอว่า เงินล้านเป็นเรื่องไกลตัว เงินล้านเป็นเรื่องของคนรวย หรือเจ้าของธุรกิจเท่านั้น แต่การมีเงินล้านก็เป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนสามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพียงแต่สิ่งสำคัญ คือ ต้องมีการวางแผน และความมุ่งมั่นที่ชัดเจน 



          วันนี้เราจึงอยากชวนคนมีฝันทุกคนมาวางแผนด้วยกันว่า มนุษย์เงินเดือนอยากมีเงิน 1,000,000 ใน 10 ปี ต้องวางแผนอย่างไร   เป้าหมายมีเงินล้านภายใน 10 ปี สำหรับมนุษย์เงินเดือนบางคนอาจเป็นเรื่องที่ง่ายมาก โดยเฉพาะคนที่มีเงินเดือนเกินหกหลัก ดังนั้น เพื่อความยุติธรรม วันนี้เราจะมาคุยกันถึงการสร้างเงินล้านจากเงินเดือนเริ่มต้นที่เงินเดือนพื้นฐาน คือ 15,000 บาทต่อเดือน   

          แนวทางการสร้างเงินล้านของเรา คือ การทยอยสะสมเงินทุกเดือน และนำเงินออมไปลงทุนต่อตามความเหมาะสม ดังนั้น ก่อนอื่นเราต้องมีเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนว่าเราจะต้องออมเงินเดือนละเท่าไหร่ถึงจะไปถึงจุดหมายได้ภายใน 10 ปี     

          ตอนนี้อาจจะเกิดคำถามว่าเราควรจะตั้งเป้าผลตอบแทนทบต้นที่กี่เปอร์เซ็นต์ดีถึงจะเหมาะสม ขอแนะนำแบบนี้คือ หากเราลงทุนในกองทุนรวมเป็นหลัก เราควรตั้งเป้าหมายอยู่ในช่วง 5 – 8 เปอร์เซ็นต์ แต่ในกรณีที่เราลงทุนในหุ้นรายตัวด้วยตนเอง เราอาจตั้งเป้าหมายได้สูงถึง 8 – 12 เปอร์เซ็นต์ 

          นักลงทุนบางคนอาจทำได้มากกว่านั้น แต่ไม่แนะนำให้ตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไป เพราะอาจทำให้เครียดและกดดันในระยะยาว   ขอใช้เลขตรงกลางคือประมาณ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเป้าหมายในการออมของเราคือประมาณ 5,750 บาทต่อเดือน ฟังดูเยอะสำหรับคนเงินเดือน 15,000 เลยใช่ไหม แต่อย่าเพิ่งถอดใจ เราค่อยๆ วางแผนไปด้วยกัน   

          มนุษย์เงินเดือนอยากมีเงิน 1,000,000 ใน 10 ปี แผนไปสู่เงินล้านของเรามี ขั้นตอน คือ 


เพิ่มรายได้ – ลดรายจ่าย – ลงทุนต่อ 



          เรามาทำความเข้าใจในทีละส่วนไปด้วยกันเลย   

1. เพิ่มรายได้   
          รายได้หลักของเราคือเงินเดือน (หรืออาจจะเป็นรายได้อื่นสำหรับอาชีพที่รายได้ไม่เป็นไปตามเงินเดือน เราสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม) ซึ่งโดยค่าเฉลี่ยประเทศแล้ว เงินเดือนจะปรับขึ้นประมาณปีละ 5% โดยเราจะตั้งเป้าเพิ่มเงินเดือน 15% ทุก ปี ซึ่งอาจจะมาจากการย้ายงานหรือเจรจาขอขึ้นเงินเดือนแล้วแต่ความเหมาะสม     

          อัตราการปรับฐานเงินเดือนดังกล่าวอิงจากค่าเฉลี่ยของประเทศ โดยตั้งเป้าที่จะเปลี่ยนงานหรือมีการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนค่อนข้างมากประมาณปีละ ครั้งซึ่งถือเป็นระยะเวลาการย้ายงานของคนปรกติ สังเกตว่าในช่วงต้นของ 10 ปีแรกการออมจากเงินเดือนเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอสำหรับเป้าหมาย ดังนั้น ช่วงประมาณ ปีแรกเราจะตั้งเป้าการหารายได้พิเศษให้ได้เดือนละประมาณ 5,000 บาท เพื่อทำให้รายได้รวมของเราอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท เมื่อออม 5,750 บาทก็ยังเหลือ 14,250 บาท

          สำหรับใช้จ่าย   ในช่วงแรกของสิบปี เราจำเป็นต้องเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายค่อนข้างมาก เพื่อทำให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเงินเดือนเพิ่มสูงมากขึ้น เราก็จะทำงานหนักน้อยลงและสามารถใช้จ่ายได้เพิ่มสูงขึ้นตามอัตภาพ   แนวทางการหารายได้ให้ได้ประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน   โบนัสประมาณ เดือนต่อปี หรือเทียบเท่า 1,250 บาทต่อเดือน โอทีช่วงเย็น 150 บาทต่อวัน 10 วันต่อเดือน เท่ากับ 1,500 บาทต่อเดือน สอนพิเศษชั่วโมงละ 200 บาทต่อชั่วโมง สอน ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ประมาณ 4,000 บาทต่อเดือน รับทำงานกราฟฟิกดีไซน์ 1,000 บาทต่อชิ้น ชิ้นต่อเดือน เทียบเท่า 4,000 บาทต่อเดือน รับเขียนบทความ 50 บาทต่อบทความ 50 บทความต่อเดือน เท่ากับ 2,500 บาทต่อเดือน ขายของออนไลน์ กำไร 5,000 บาทต่อเดือน   หรือเราสามารถหาแนวทางการหารายได้เพิ่มของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่มีความเฉพาะเจาะจงสูงและได้ค่าตอบแทนมาก เช่น การรับเวรเพิ่มของบุคลากรทางการแพทย์ การรับถ่ายงานสำหรับช่างภาพ การรับงานที่ปรึกษาเฉพาะทางสำหรับวิชาชีพตนเอง 

          สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องหาจุดแข็งของเราให้เจอ แต่ถึงแม้เราจะไม่มีคุณสมบัติโดดเด่น แต่งานรายได้ดีจำนวนมากก็ไม่ได้ต้องการความรู้เฉพาะทาง เช่น การขายของออนไลน์ การขายของตลาดนัด สิ่งสำคัญอยู่ที่ความพยายามและความมุ่งมั่นมากกว่า   ความจริงอีกอย่างคือเราสามารถทยอยลงทุนน้อยในตอนต้นของสิบปีและลงทุนมากขึ้นตอนปลายของสิบปีตามการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนได้ แต่การคิดเงินออมเฉลี่ยต่อเดือนจะเปลี่ยนไปตามบุคคล ซึ่งหากเราชอบวิธีนี้ อาจจะต้องเขียนแผนการออมของตนเองขึ้นมา   

2. ลดรายจ่าย   
          รายจ่ายนั้นถือเป็นแนวต้านสำคัญที่ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้น หากมุ่งมั่นจะมีเงินล้านอย่างแท้จริงแล้ว เราจำเป็นต้องลดรายจ่ายให้มากเท่าที่เราจะออมตามเป้าได้ หากเงินออมถึงเป้าแล้วอาจเพิ่มรายจ่ายเพื่อสร้างความสุขได้ตามเหมาะสม   

          แนวทางการลดรายจ่ายเพื่อเป้าหมายเงินล้าน   อย่าเพิ่งซื้อรถ   ยกเว้นในกรณีที่การซื้อรถสามารถสร้างรายได้ส่วนเพิ่มให้เรามากกว่าค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายต่อเดือน เช่น งานปรกติเราได้เงินเดือน 15,000 บาท แต่ถ้าขยับไปเป็นเซลล์จะมีรายได้รวม 50,000 บาทแต่ต้องใช้รถตัวเอง ถือเป็นรายได้เพิ่มขึ้น 420,000 บาทต่อปี ในขณะที่รถที่สนใจจะซื้อเป็นรถมือสองคันละ 600,000 บาท ตั้งใจใช้ ปี และตีราคาหากขายต่ออยู่ที่ 300,000 บาท แบบนี้คือต้นทุนรถต่อปีเราอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาทต่อ ปี หรือ 60,000 บาทต่อปี ค่าน้ำมันและค่าดูแลเฉลี่ยเดือนละ 7,000 บาท ตกเป็นรายจ่ายต่อปีที่ 144,000 บาทซึ่งก็ยังถือว่าน้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น แบบนี้การซื้อรถจะคุ้มค่าเป็นการลงทุน แต่ถ้าการซื้อรถเพิ่มรายได้ให้ไม่คุ้มค่า การใช้รถสาธารณะจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและทำให้เราไปถึงจุดหมายได้เร็วกว่า   อย่าเพิ่งซื้อบ้าน   การซื้อบ้านถือเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่มากที่จะกัดกินเงินออมของเรา 

          ในช่วงแรกที่เรายังมุ่งเน้นการหารายได้เพิ่ม การซื้อบ้านอาจจะยังไม่ค่อยเหมาะสมด้วยหลายประการ เช่น ไม่เหมาะต่อการเดินทางไปทำงาน อาจจำเป็นต้องซื้อรถทำให้เกิดรายจ่ายเพิ่ม ค่าผ่อนบ้านแพงกว่าค่าเช่ามาก ค่าซ่อมค่าตกแต่งต่อเติมมีจำนวนมาก รวมไปถึงหากยังไม่ได้แต่งงานมีลูก การใช้พื้นที่บ้านอาจไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก การเช่าบ้านอยู่จะช่วยประหยัดและเพิ่มความยืดหยุ่นในชีวิตได้มาก ที่สำคัญการลดรายจ่ายก้อนใหญ่จะช่วยเพิ่มเงินออมและไปถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น   อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย   

          เราอาจต้องกลับมาถามตัวเองว่าเราจะประหยัดได้มากที่สุดแค่ไหน เพื่อทำให้เราไปถึงจุดหมายได้ การลดรายจ่ายฟุ่มเฟือยถือว่าช่วยสร้างเงินออมได้อย่างมากเช่นกัน ก่อนใช้จ่ายทุกครั้ง เราต้องลองถามตัวเองว่าค่าใช้จ่ายครั้งนี้จำเป็นไหม ถ้าจำเป็น จำเป็นมากกว่าความฝันอยากมีเงินล้านของเราหรือเปล่า   

3. ลงทุนต่อ   
          การลงทุนต่อจะช่วยเป็นเครื่องผ่อนแรงไปสู่เป้าหมายเงินล้านของเรา โดยการลงทุนอาจทำได้หลายอย่าง แต่ด้วยเงื่อนไขที่ไม่มีเงินทุนมาก เราจะแนะนำการลงทุนในกองทุนและหุ้นเป็นหลัก เนื่องจากผลตอบแทนปานกลาง ความเสี่ยงไม่สูงมาก และใช้เงินทุนตั้งต้นไม่เยอะ   

          กองทุนรวมที่แนะนำในแผนระยะยาว 10 ปีอาจจะเน้นไปที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (เป้า 5% ต่อปี) และกองทุนรวมหุ้น (เป้า 8% ต่อปี) โดยเราจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ในการเลือกสรรกองทุนรวมเพิ่มเติมเพื่อเลือกกองทุนรวมที่ดีที่สุดในขอบเขตกองทุนรวมที่เรารับได้และสนใจ   แต่ถ้าหากเรามีความรู้ ความสนใจ และเวลาที่มากพอ การลงทุนในหุ้นรายตัวก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะโดยปรกติ การลงทุนในหุ้นรายตัวมักให้ผลตอบแทนในช่วงที่กว้างกว่ากองทุนรวม นั่นคือ อาจจะกำไรมากกว่าหรือขาดทุนมากกว่าก็ได้ 

          ดังนั้น การลงทุนในกรอบระยะเวลาค่อนข้างยาวนานถึง 10 ปี การลงทุนในหุ้นรายตัวก็เป็นแขนงการลงทุนที่ควรศึกษา เพราะนอกจากจะมีเวลาศึกษามากแล้ว ระยะเวลาที่ยาวนานจะช่วยสร้างผลตอบแทนทบต้นอย่างเท่าทวีคูณ   ถึงแม้ว่าบทความนี้จะไม่ใช่สูตรสำเร็จสร้างเงินล้านให้ทุกคน แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะพอช่วยเป็นแนวทางและกรอบความคิดในการออมและลงทุนของทั้งมนุษย์เงินเดือนและไม่เงินเดือนได้ เงินล้านไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย หากเรามีเป้าหมายที่ชัดและความพยายามที่มากพอ   

          คำถามคือวันนี้เป้าหมายเราชัดและความพยายามเรามากพอหรือยัง ไม่แน่นะ เราอาจจะมีเงินล้านได้ก่อน 10 ปีตามที่จั่วหัวอยู่บทความนี้ก็เป็นได้   


ความมั่งคั่งไม่ได้ถูกสงวนไว้ให้คนที่เกิดมารวย 

แต่ความมั่งคั่งถูกสงวนไว้ให้คนที่มีความพยายามที่มากพอ

ประวัติศาสตร์การลงทุน

วิกฤติ BLACK MONEY

       วันที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น   เพียงแค่ตลาดหุ้นร่วงเพียง 1-2% หลายคนก็ว่ารุนแรงแล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอยู่ดีๆ ตลาดหุ้นร่วงหนักทีเดียวกว่า 20% ลองนึกภาพตลาดหุ้นไทยจาก 1,500 จุดจะเหลือเพียง 1,200 จุด บรรยากาศในวันนั้น    คงไม่ต่างอะไรกับวันโลกาวินาศ   



          แต่นี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาเมื่อวันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 1987 วันที่ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปถึง 500 จุด คิดเป็นการลดลงกว่า 22% ภายในวันเดียว ซึ่งถือเป็นการลดลงของดาวโจนส์ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้น   ทุกคนเรียกวันจันทร์อันโหดร้ายนั้นว่า Black Monday   

          ปกติแล้ว ทุกการร่วงลงของตลาดแบบรุนแรงมักจะต้องมีสาเหตุที่ค่อนข้างเลวร้ายหน่อยๆ อาจมีสงคราม มีมาตรการณ์รัฐบางอย่าง หรือเกิดความไม่สงบทางการเมือง ฯลฯ แต่กับเหตุการณ์วันจันทร์ทมิฬที่ทำให้ความมั่งคั่งของชาวอเมริกันหายไปกว่า แสนล้านเหรียญ สาเหตุของมันมาจากเรื่องที่ง่ายกว่านั้นมาก   มันเกิดจากแรงขายที่มากกว่าแรงซื้อ แต่ช้าก่อน นี่ไม่ใช่คำตอบแบบกำปั้นทุบดิน เพราะแรงขายที่ว่ามันคือแรงขายแบบ มหาศาล” ที่มาจากระบบการเทรดของคอมพิวเตอร์   

          คอมพิวเตอร์ไม่พลาดหรอก   คนอาจเข้าใจว่าคอมพิวเตอร์ไม่มีพลาด เราดูจะไว้ใจคอมพิวเตอร์ให้คำนวณเส้นทางการบินจากโลกไปดวงจันทร์มากกว่าที่จะใช้มือคำนวณเอง แต่เชื่อเถอะว่ามันก็มีจุดอ่อน ยิ่งสำหรับโลกการลงทุนที่มีปัจจัยต่างๆ นอกเหนือจากความเข้าใจของเรามากมายนัก โอกาสพลาดของคอมพิวเตอร์ก็ยิ่งสูงขึ้นไปใหญ่   

          ในยุคสมัยนั้น คอมพิวเตอร์เริ่มมีความนิยมในสายธุรกิจการลงทุนมากขึ้น ดูแล้วน่าจะเอามาช่วยแบ่งเบางานหนักๆ ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานที่เกี่ยวข้องกับซื้อขายหุ้น มนุษย์อาจอิดออดเวลาต้องขายหุ้นเมื่อต้องตัดขาดทุน แต่คอมพิวเตอร์ไม่มีปัญหานี้ มันพร้อมจะขายหุ้นทุกเมื่ออย่างชินชาราวกับคนที่ไร้หัวใจ   ด้วยเหตุนี้เอง กองทุนต่างๆ จึงนิยมใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้นในงานของการควบคุมความเสี่ยง โดยจะกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ขาดทุนหนักได้ ตัวอย่างเช่น หากตลาดหุ้นโดยรวมร่วงลงไป 10%  คอมพิวเตอร์อาจจะขายหุ้นในกองทุนออกไป 20% 30% หรือ 50% เพื่อไม่ให้กองทุนต้องถือหุ้นมากไปหากตลาดหุ้นตกหนักกว่าเดิม   

          ฟังดูก็สมเหตุสมผลดีนี่ แล้วมีอะไรต้องกังวลหละ ?   ใครๆ ก็อยากขาย   แต่อะไรจะเกิดขึ้นถ้ากองทุนนับรอยนับพันต่างคิดเหมือนๆ กันว่าต้องขายหุ้นทิ้งออกไปให้เร็วที่สุด   นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987 เมื่อแรงขายมหาศาลจากกองทุนได้ถล่มเข้ามาระลอกแรก และเมื่อมีแรงขายมากกว่าแรงซื้อมากๆ ตลาดย่อมร่วงหนัก และเมื่อตลาดร่วงหนัก เจ้าคอมพิวเตอร์ที่ดูแลกองทุนอยู่ต่างก็แย่งกันขายจ้าละหวั่นเพราะตลาดร่วงมาถึงจุดที่กำหนดไว้ และเมื่อแย่งกันขายระลอกสอง ตลาดก็ยิ่งลงต่อไปอีก เป็นวัฏจักรแห่งความวุ่นวายที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ   

          แค่นั้นยังไม่พอ นักลงทุนทั่วไปที่เข้ามาเห็นความวุ่นวานดังกล่าวก็เริ่มกังวลในอนาคตของตัวเอง แรงขายจากนักลงทุนที่เป็นมนุษย์จริงๆ ก็เข้ามาเสริมให้ทุกอย่างเลวร้ายลง จนจบวันด้วยสภาพตายอนาถที่ดัชนีลบไปกว่า 500 จุด แม้แต่โรงพยาบาลก็ได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้เข้ารับการรักษาที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในแผนกจิตเวช (ไม่เครียดก็แปลก หุ้นลงไปวันเดียว 22%)   

          ส่วนประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กันแม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก ตลาดหุ้นไทยในวันถัดมาก็ร่วงลงไปอีก 8% และร่วงลงไปอีกกว่า 40% นับจากเหตุการณ์ Black Monday ไม่ถึงสองเดือนเท่านั้น   ถ้ายุคนั้นมีโซเชียลเน็ทเวิร์ก คงไม่มีใครกล้าส่งภาพสวัสดีวันจันทร์ไปอีกนาน   สาเหตุที่แท้จริง   ดูยังไงคอมพิวเตอร์ก็เป็นผู้ร้าย ซึ่งก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครสรุปได้ว่าสาเหตุแท้จริงที่เป็นตัวจุดชนวนให้ตลาดหุ้นทิ้งดิ่งมันคืออะไรกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นเพราะกฎหมายอุดช่องโหว่ทางภาษีของบริษัท บ้างก็ว่าเป็นเพราะการส่งออกที่แย่ลง บ้างก็ว่าเป็นเพราะตลาดหุ้นที่ขึ้นมาหลายปีจนราคาแพงไปแล้ว   

          แต่ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรก็ตาม ลึกๆ แล้วมันอาจมาจากสิ่งที่เรียกว่า ความประมาท”   ลองคิดดูว่า ถ้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ถูกกำหนดให้มันคำนึงถึงความเสี่ยงรอบด้านตั้งแต่แรก ไม่ละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าการขายตัดขาดทุนจะเกิดปัญหาได้หากมีการเทขายพร้อมๆ กัน 

       วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคมก็คงเป็นเช้าอีกวันที่แสนสดใส ไม่ใช่วันที่ความมั่งคั่งของคนหายไปกว่า แสนล้านเหรียญ   ซึ่งหลังจากปี 1987 เหตุการณ์ที่ตลาดร่วงอย่างรุนแรงในเวลาสั้นๆ ก็ยังปรากฏให้เห็นบ่อยๆ อย่างในปี 2011 และปี 2015 ที่ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปหลายเปอร์เซ็นต์เช่นกัน แต่โชคยังดีที่ตลาดฟื้นตัวกลับมาได้ไวกว่าตอนเกิด Black Monday เพราะในปี 1987 ตลาดต้องใช้เวลาประมาณ 14 เดือนกว่าที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้  


คอมพิวเตอร์อาจไม่เคยพลาด
แต่ที่พลาดคือคนอย่างเราๆ
ที่ไว้ใจคอมพิวเตอร์มากเกินไปต่างหาก  


กฎ 10 ข้อ สู่ความสำเร็จ

       หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง “The PURSUIT of HAPPYNESS” ที่นำแสดงโดย วิว สมิธ คงรู้สึกซาบซึ้ง กับความอดทน มุ่งมั่นพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในชีวิต และความรักที่มีต่อลูก ของชายผู้เป็นพ่อที่ชื่อว่า “คริส การ์ดเนอร์” จากอดีตคนไร้บ้าน สู่การเป็นเจ้าของบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ “การ์ดเนอร์ ริช” (หากใครยังไม่เคยชม ขอแนะนำเลยค่ะ เชื่อว่าคุณต้องชอบ)
       ปัจจุบัน การ์ดเนอร์ กลายเป็นมหาเศรษฐีที่มีทรัพย์สินมูลค่าราว 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และผันตัวเองมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งกฏแห่งความสำเร็จของเขาสามารถใช้ได้กับคนทุกอาชีพ ทุกสถานะ ยิ่งผู้ที่เป็นเจ้าของธุรกิจและนักลงทุน ที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงเป็นประจำ ก็น่าจะได้รับความบันดาลใจไม่น้อย ซึ่งกฏที่ว่ามีดังต่อไปนี้


กฏ 10 ข้อแห่งความสำเร็จ ของ คริส การ์ดเนอร์

1. ยึดมั่นในแผน A : Commit to plan A
          การไปให้ถึงฝันและเป้าหมายที่ตั้งไว้ เราต้องวางแผนที่ชัดเจน รัดกุม ดึงดูดความสนใจ เป็นเหตุเป็นผลและยึดถือได้ นั่นหมายความว่าเมื่อคุณพยายามทำอะไรบางสิ่ง คุณต้องหลงใหลในสิ่งนั้นอย่างแท้จริงและตั้งใจทำให้ออกมาดีที่สุด ส่วนแผน B นั้นมักไม่ค่อยได้เรื่อง

2. ครอบครัวต้องมาก่อน : Put family first
          การ์ดเนอร์ พูดเอาไว้ว่า “การเข้าร่วมประชุม และการประชุมทางโทรศัพท์ มันสามารถปรับเปลี่ยนตารางเวลาได้ แต่การที่ลูกชายคุณได้ลงแข่งเบสบอลเป็นครั้งแรกนั้นมีแค่หนเดียว” ฉะนั้นครอบครัวชนะทุกสิ่ง

3. ตัดสินใจเป็นผู้ยิ่งใหญ่ : Decide to be world-class
          จงมุ่งมั่นที่จะเป็นในสิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง ไม่ว่าในอะไรก็ตามที่คุณกำลังทำ กำลังเป็นอยู่ และสามารถทำสิ่งนั้นได้ตลอดไป เช่น ถ้าคุณเป็นพนักงานขายและรักในงานขาย คุณต้องตั้งใจทำให้ออกมาดีที่สุด

4. มีคุณค่าในตัวเอง : Have self-worth
          อย่าเข้าใจผิดคิดว่ารายได้ของคุณจะอยู่คู่กับคุณค่าของคุณ เพราะรายได้นั้นขึ้น ๆ ลง ๆ แต่คุณค่าของคุณจะไม่มีทางเป็นแบบนั้น ให้ลองทบทวนตัวเองดูว่า คุณค่าของคุณคืออะไร แบบที่ไม่ต้องลังเล ประนีประนอม และปล่อยทิ้งไป

5. หมั่นสร้างแรงจูงใจให้กับทีมของคุณ : Keep your team motivated
          ลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า “คุณสร้างแรงจูงใจให้พนักงานคนสำคัญของคุณอย่างไร?” สิ่งที่คริสแนะนำก็คือ คุณต้องเคารพ มอบความก้าวหน้า และเชื่อใจ โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายพวกเขา สอนให้เค้าเห็นวิธีที่จะทำเงินได้มากกว่าที่เคยทำมาในชีวิตนี้ ด้วยการช่วยเหลือและเชื่อมั่นในทีมงาน ทำให้พวกเขาสร้างรายได้อย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ ด้วยการพัฒนาศักยภาพบุคคลอันนำมาซึ่งความสำเร็จ

6. การเปลี่ยนแปลงคือสิ่งจำเป็น : Change is necessary
          ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้คนเราเติบโตขึ้น และยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะเลือกเวลาในการเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง หรือ ปล่อยให้เวลาเข้ามาเปลี่ยนแปลงตัวคุณ

7. ก้าวเดินทีละนิด : Baby steps count
          การลงมือทำแม้เพียงเล็กน้อย แต่เมื่อทำมันอย่างต่อเนื่องให้นานที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ วันนึงมันจะเห็นผลอย่างน่าเหลือเชื่อ

8. ทำตามแรงปรารถนาของคุณ : Follow your passion
          ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ลองถามตัวเองดูว่า “คุณอยากทำอะไรในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต?” ถ้าหากคุณกำลังทำในสิ่งที่คุณเองไม่ได้ยึดมั่นในสิ่งนั้นจริง ๆ หรือแม้แต่ทำในสิ่งที่ไม่ได้ปรารถนา นั่นแปลว่าคุณกำลังผลัดวันประกันพรุ่งไปวัน ๆ 

9. ทำในสิ่งที่ต้องทำ : Do whatever it takes
          ถ้าคุณมีเป้าหมาย มีความฝัน จงทำตามมัน อย่าให้อะไรก็ตามมาขวางทางคุณ ถึงแม้ว่าคุณอาจเจอกับความเหนื่อยล้า ท้อแท้ และหมดกำลังใจ แต่จงทำอะไรก็ได้ที่นำพาคุณไปให้ถึงเป้าหมาย

10. เริ่มต้นในสิ่งที่คุณเป็นอยู่ : Start where you are
          สร้างโอกาสจากทักษะและความสามารถของคุณ ค้นหาสิ่งที่คุณปรารถนาชนิดที่ว่าไม่สามารถรอให้พระอาทิตย์ขึ้นได้ แต่เลือกที่จะลงมือทำทันที โดยเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณเป็นอยู่ และค่อย ๆ ทำตามขั้นตอนที่ช่วยให้คุณมีชีวิตอยู่บนความปรารถนานั้นได้

          จากกฏทั้ง 10 ข้อนี้ ทำให้วันนี้ คริส การ์ดเนอร์ มีอิสรภาพทางการเงิน และได้ทำตามความปรารถนาอันแรงกล้าของเขาเอง นั่นคือ “A very big part of what I want to do with the rest of my life is simple; a want to help create the next ‘Chris Gardner.” (สิ่งที่ฉันต้องการทำมากที่สุดในช่วงชีวิตที่เหลือจากนี้ นั้นง่ายมาก ซึ่งก็คือ ต้องการช่วยสร้างคริส การ์ดเนอร์ คนต่อไป) นี่คือความบันดาลใจที่เราน่าจะลองทำตามกันดูเพื่อเป็นแรงส่งให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ

          แต่สิ่งหนึ่งที่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การลงทุนและการวางแผนการเงินที่ดี คือหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน มีเวลาไปทำในสิ่งที่ปรารถนาอยากที่จะทำ โดยที่ไม่ต้องกังวลกับการหาเงินเลี้ยงชีพ หรือหากมีเงินแต่ไม่มีเวลาบริหารจัดการ คุณก็อาจเลือกใช้บริการพวกกองทุนส่วนบุคคล หรือมืออาชีพด้านวางแผนการเงินการลงทุน เพื่อจะได้มีเวลาไปโฟกัสในสิ่งที่คุณถนัดและต้องการทำมันให้ดีที่สุด...

เคล็ดลับกับการลงทุน

เคล็ดลับการลงทุนของบัฟเฟตต์

          หากคุณอยู่ในแวดวงตลาดหุ้นและการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นแนวไหน แน่นอนว่า ทุกคนย่อมต้องรู้จัก วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ได้ร่ำรวยมาจากการทำธุรกิจ แต่ร่ำรวยมาจากการลงทุนและการบริหารเงินด้วยความเฉลียวฉลาดรอบคอบ

          ด้วยความที่เขาเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยชอบออกสื่อ จึงไม่ค่อยมีใครได้รู้เทคนิคในการลงทุนจากปากของเขาเองมากนัก มีแต่คนอื่นๆ ที่พยายามวิเคราะห์ลักษณะการลงทุนของเขาแล้วสรุปออกมาเป็นเทคนิคต่างๆ ถ้าเราอยากจะทราบข้อมูลจากปากของเขาเองจริงๆ แหล่งข้อมูลเดียวที่พอจะเข้าถึงได้คือ จดหมายที่เขาเขียนถึงผู้ถือหุ้นบริษัท BERKSHIRE HATHAWAY INC ปีละครั้งเป็นประจำทุกปี




           “25 เคล็ดลับการลงทุนของบัฟเฟตต์” แปลจากหนังสือเรื่อง Buffett’s Bites เป็นหนังสือที่กรั่นกรองออกมาจากจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของบัฟเฟต์ประจำปี 2008 เคล็ดลับแต่ละข้อจะให้ข้อคิดกำลังใจนักลงทุนในยามที่ตลาดกำลังผันผวน ยกตัวอย่างอาทิ 

ข้อ เลือกความเรียบง่ายมากกว่าความซับซ้อน
          Buffett แนะนำว่า เมื่อลงทุน ทำให้เรียบง่าย ชัดเจน อย่าพยายามหาคำตอบที่ซับซ้อน จากคำถามที่ซับซ้อน"

ข้อ ตัดสินใจลงทุนด้วยตัวคุณเอง
          อย่าเชื่อโบรกเกอร์ผู้รู้หรือนักวิเคราะห์แต่เพียงอย่างเดียว จงเชื่อตัวเองด้วย แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะปิดหู ปิดตาไม่รับรู้ข้อมูลใดๆ เลย เพียงแต่เมื่อได้ข้อมูลมาเราต้องนำมาวิเคราะห์ แยกแยะ และตัดสินใจด้วยเหตุผล รวมทั้งต้องศึกษาประวัติพื้นฐานของบริษัทมาให้ดีก่อนที่จะลงทุน และไม่ควรลงทุนโดยฟังจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดโดยปราศจากการไตร่ตรอง

ข้อ จงมีสติ
          ปล่อยให้คนอื่นๆ ตื่นตระหนกไปกับตลาด แล้วเมื่อมันสงบคุณจะได้ประโยชน์จากมัน” การมีสติยังหมายถึงการมี วินัย” เมื่อตลาดพุ่งทะยานขึ้น พร้อมกับสถานการณ์ที่คนอื่นๆ กำลังจะละโมบและดีใจเมื่อหุ้นขึ้น แต่เราต้องมีสติ เพราะสติเป็นตัวจักรสำคัญเมื่อสิ่งต่างๆไม่ได้เป็นไปตามที่คุณคาดไว้ในตอนแรก อย่าอ่อนไหวไปกับความผันผวนของตลาดโดยขาดสติ

ข้อ จงอดทน
          การลงทุนคือการหาบริษัทดีๆ สัก 2-3 บริษัทแล้วนั่งทับมันไว้ นอกจากนี้ ความผิดพลาดในการลงทุนเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด และความอดทนที่น้อยเกินไปคือส่วนหนึ่งของความหงุดหงิดนั้น สำหรับ Buffett ผู้เป็นนักลงทุนมาเป็นระยะกว่าทศวรรษ แทนที่จะเป็นนักลงทุนรายวัน เพราะเขามองหาทางทำกำไรจากบริษัทไม่ใช่การทำกำไรจากตลาดหุ้น ตลาดหุ้นเป็นเพียงแค่สื่อกลางในการเสนอราคาเท่านั้น ง่ายๆ คือ Buffett ซื้อหุ้นแล้ว Let profit run เพียงแต่คุณต้องหาบริษัทที่ดีมากๆๆ ให้เจอแล้วกอดมันไว้กับคุณนาน และเมื่อเวลามันราคาตกก็ทยอยซื้อเก็บไว้ รอให้ตลาดมองเห็นสูงค่าที่แท้จริงของมัน

ข้อ ซื้อธุรกิจไม่ใช่ซื้อหุ้น
          Buffett กล่าวว่า จงจำไว้ว่าเมื่อคุณซื้อหุ้น คุณได้ซื้อส่วนของธุรกิจนั้นจริงๆ หุ้นไม่ได้มีอะไรในตัวมันเอง นอกจากการเป็นตัวแทนกิจการ

ข้อ จงมองหาบริษัทที่มี Franchise
          บริษัทที่มี Franchise เปรียบเสมือนธุรกิจที่มีกำแพงและคูเมืองล้อมรอบเพราะสามารถป้องกันและต้านทานศัตรูได้ ในที่นี้ในความหมายของ Buffett หมายถึงธุรกิจที่มีสิทธิพิเศษบางอย่างและสามารถรับประกันได้ความสำเร็จของธุรกิจ

ข้อ ซื้อ Low Tech ไม่ใช่ High Tech
          Buffett ซื้อบริษัททำอิฐ บริษัทสี บริษัทพรม บริษัทเฟอร์นิเจอร์และบริษัทชุดชั้นใน ธุรกิจเหล่านี้เป็นธุรกิจที่เขารักที่จะเป็นเจ้าของ เพราะมันสามารถเข้าใจง่าย มั่นคงด้วยกระแสเงินสดที่คาดเดาได้ ไม่มีอะไรหวือหวาน่าตื่นเต้น แต่เป็นธุรกิจที่ดี บริษัทเข้มแข็งจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง สามารถนำรายได้และผลกำไรที่เติบโตขึ้นทุกๆ ปี แต่เขาจะไม่ซื้อบริษัทที่เป็นคลื่นลูกใหม่ ใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพราะผลตอบแทนที่ได้จากธุรกิจประหลาดๆ เหล่านี้มักจะไม่ค่อยตกไปถึงมือนักลงทุน

ข้อ ลงทุนแบบมุ่งเน้นคุณค่า (Value Investing)
          ถ้าคุณพบหุ้นที่ดี ทำไมคุณถึงซื้อหุ้นแค่นิดเดียว” เขาเชื่อมันในการลงทุนแบบนี้ และปฏิเสธการกระจายความเสี่ยง เพราะจะสร้างผลตอบแทนอย่างน่าอัศจรรย์ในระยะยาว

ข้อ ฝึกที่จะอยู่นิ่ง
          Buffett ชอบซื้อหุ้น แต่สำหรับการขายหุ้นนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เขาเปรียบนักลงทุนที่ชอบการเคลื่อนไหวว่าเหมือนกับผึ้งที่ชอบตอมดอกไม้ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น

ข้อ 10 อย่ามองตัววิ่ง (ราคาหุ้น)
          ราคาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของนักเก็งกำไร แต่การลงทุนเป็นอะไรที่มากกว่าราคา ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแนวเน้นคุณค่า (Value Investing) ที่ไม่สนใจการเคลื่อนไหวขึ้นลงของราคาหุ้นในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าคุณเป็นเจ้าของหุ้นในธุรกิจที่ดี คุณไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับราคาหุ้นในระยะสั้น ส่วนในระยะยาวนั้น พื้นฐานของธุรกิจจะเป็นผู้ดูแลราคาของคุณเอง