วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เล้าข้าว ของชาวอีสาน



          อีสาน” หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นสังคมเกษตรกรรม มีอาชีพทำนาเป็นหลักมาตั้งแต่ครั้งบรรพชนจนถึงปัจจุบัน เป็นสังคมที่ต้องพึ่งตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำมาหากิน เครื่องมือ เครื่องใช้ และเทคโนโลยีต่างๆ จึงเกิดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาต่างๆในการดำเนินชีวิตตามสภาพที่พึ่งมี เท่าที่ธรรมชาติในท้องถิ่นของตนจะเอื้ออำนวย ภาคอีสานถึงแม้จะมีพื้นที่ทำนาจำนวนมากแต่การผลิตข้าวยังทำได้น้อยเนื่องจากปัจจัยหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยที่เกิดจากธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้วิถีชีวิตของคนอีสานอยู่กับการทำนาเพื่อให้ได้ข้าวมาเพื่อเลี้ยงชีวิต เกือบครึ่งปี ข้าวจึงเป็นสมบัติอันล้ำค่าแห่งชีวิตของคนอีสาน การเก็บรักษาข้าวพร้อมที่จะนำมาปรุงอาหารและแลกเปลี่ยนซื้อขาย จึงมีความสำคัญและจำเป็น จึงต้องสร้างที่เก็บรักษาข้าวเปลือกไว้ประจำบ้านของตน ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า “เล้าข้าว”  

          เล้าข้าว มีชื่อเรียกหลายอย่างด้วยภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไปของแต่ละท้องถิ่น  ในกลุ่มชาวนาภาคเหนือในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เรียกว่า เล้าข้าว หลองข้าว ภาคอีสาน จะนิยมเรียกว่า “เล้าข้าว” ภาคกลางส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า ยุ้งข้าว แต่มีบางจังหวัดเรียกว่า ฉางข้าว ส่วนภาคใต้เรียกว่า เรือนข้าว หรือ เริ้นข้าว ดังนั้น เล้าข้าว หรือ ยุ้งข้าว จึงเป็นที่สำหรับใช้ประโยชน์ในการเก็บรักษาข้าวเปลือกของชาวนา มีรูปแบบและโครงสร้างที่แข็งแรง มักเป็นเรือนหลังเดี่ยว ตั้งอยู่ในบริเวณที่ลมสามารถพัดผ่านได้สะดวกเพื่อป้องกันไม่ใช้ข้าวเปลือกชื้นและขึ้นรา ยุ้งข้าวเปรียบประดุจท้องพระคลังมหาสมบัติของชุมชน เสมือนเป็นขุมอาหาร ซึ่งหากขาดแคลนแล้วไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่ได้ จึงก่อให้เกิดความเชื่อเกี่ยวกับยุ้งข้าวอันถือเป็นเรื่องใหญ่


ความเชื่อในการสร้างเล้าข้าว

          -ข้อห้ามต่างๆ ที่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับเล้าข้าว ว่าข้าวเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนอีสาน หลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับข้าวจึงต้องมีความสำคัญตามไปด้วย หรือแม้แต่ความเชื่อต่างๆ ก็เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นวิถีทางสังคมที่ยึดถือปฏิบัติกันเรื่อยมา เป็นมรดกทางสังคมและวัฒนธรรมของอีสาน ด้านความเชื่อในลักษณะข้อห้ามต่างๆ เช่น ห้ามหันประตูเล้าข้าว (หันด้านหน้า) ไปทางทิศดาวช้าง (ดาวจระเข้) เพราะเชื่อกันว่าเป็นการหันประตูไปทางปากช้าง แล้วช้างจะกินข้าว อันเป็นเหตุให้เก็บรักษาข้าวไม่อยู่หรือมีเหตุให้สูญเสียข้าวอยู่เรื่อยๆ ห้ามหันประตูเล้าข้าวเข้าหาเรือน ด้วยความเชื่อและเหตุผลเวลาขนข้าวเข้า-ออก จะได้ สะดวกสบาย ไม่นิยมสร้างเล้าข้าวไว้ในตำแหน่งทิศหัวนอนของเรือนพักอาศัย เพราะเชื่อว่าเป็นการนอนหนุนข้าว จะเป็นเหตุให้คนในครอบครัวเจ็บป่วย ไม่สบายและมีภัยพิบัติ เล้าข้าวที่ถูกรื้อแล้วห้ามนำไม้ไปสร้างเรือนพักอาศัย เพราะเชื่อว่าจะทำมาค้าขายไม่เจริญและมีภัยพิบัติใหญ่เกิดขึ้นกับครอบครัว บริเวณที่สร้างเล้าข้าวเมื่อรื้อออกหรือย้ายออกจะไม่สามารถสร้างบ้านบริเวณนั้นได้ เพราะเชื่อว่าบริเวณนั้นเป็นที่อยู่ของแม่โพสพ ที่เคารพนับถือ มีพระคุณ และการสร้างเล้าข้าวจะไม่สร้างในลักษณะขวางตะวัน เพราะเชื่อว่าถ้าสร้างแล้วจะมีแต่สิ่งที่ขัดขวาง ไม่อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งในปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ถูกลดบทบาทลง ยังหลงเหลืออยู่บ้างในบางข้อ เนื่องด้วยกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่เอาความง่ายและสะดวกสบายเป็นหลักซึ่งไม่ถูกต้องตามพิธีกรรมและประเพณีดั้งเดิม

 

พิธีกรรมที่เกี่ยวกับเล้าข้าว

          ชาวอีสานแต่โบราณเชื่อว่า “วันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันฟ้าไข (เปิด) ประตูฝน เพื่อให้ฝนตกลงมาสู่โลกมนุษย์ และเชื่อว่าวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันที่โลกมีความอิ่มและอุดมสมบูรณ์ที่สุด ถึงขนาดมีคำกล่าวว่า “กบบ่มีปาก นาคบ่มีฮูขี่ (ฮูขี่ แปลว่า รูทวารหนัก) หมากขามป้อมก็ต่าวหวาน” จึงถือโอกาสเปิดประตูเล้าข้าว (ประตูยุ้งข้าว) ของตน ซึ่งปิดไว้ห้ามเปิดมาตั้งแต่วันเอาข้าวขึ้นเล้าหลังนวดข้าวเสร็จ ในประมาณกลางเดือนสิบสองหรือต้นเดือนอ้ายเป็นอย่างช้า ซึ่งจะมี “พิธีเอาข้าวขึ้นเล้า” “พิธีสู่ขวัญข้าว” และ “พิธีตุ้มปากเล้า” ก่อนที่จะเปิดประตูเล้า และจะนำข้าวเปลือกที่อยู่ในเล้าไปถวายวัดก่อนจะตักข้าวในเล้าลงมาตำกินในครัวเรือน(ซึ่งสมัยโบราณใช้วิธีการตำข้าว) เพื่อให้เป็นไปตาม “คองสิบสี่สำหรับประชาชน ข้อที่ 1” ที่บัญญัติไว้ว่า “เมื่อได้เข่าใหม่หลือหมากไม้เป็นหมากใหม่ ตนอย่าฟ้าวกินก่อนให้เอาทำบุญ ทำทานแก่ผู้มีสีนกินก่อน แล้วตนจึงกินเมื่อพายลุน และให้แบ่งแก่ยาดติพี่น้องนำ”

 

พิธีเอาข้าวขึ้นเล้า

          พิธีเอาข้าวขึ้นเล้า คือ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วก็จะนำมาใส่ไว้ในเล้า นิยมทำวันจันทร์ พฤหัสบดี ศุกร์ เวลาบ่าย 3 โมง ถึงบ่าย 5 โมง มีขั้นตอน คือ เอาเทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ใส่ขัน พร้อมกระบุงเปล่า 1 ใบ และหาขันหรือกระบอกใส่ข้าว(ขวัญข้าว) 1 อัน หัวหน้าครอบครัวเอาผ้าขาวม้าพาดเฉวียงบ่า ถือกระบุง และขันดอกไม้พร้อมทั้งขันหรือกระบอกสำหรับใส่ขวัญข้าวไปยังลานข้าว ยกขัน 5 ขึ้น ว่านโม 3 จบ แล้วให้ว่าคาถาเรียกขวัญข้าว “อุกาสะ อุกาสะ ผู้ข้าขอโอกาสราธนาแม่โพสพให้เมืออยู่เล้า คุณข้าวให้เมืออยู่ฉาง ภะสะพะโภชะนัง มะหาลาภัง สุขัง โหตุ” แล้วเอาขันที่เตรียมไปตักขวัญข้าวนั้น ใส่กระบุง อุ้มเดินกลับบ้าน เอาขึ้นไปวางไว้บนขื่อด้านหลังสุดตรงข้ามประตูเข้าเล้า ซึ่งขวัญข้าวที่เก็บไว้นั้นจะนำมาผสมกับข้าวปลูกเพื่อทำพันธุ์ในปีต่อไป

 

พิธีสู่ขวัญข้าว

          เป็นประเพณีที่ชาวอีสานแต่ละครอบครัวจะทำกัน ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ถ้าครัวเรือนไหนจะสู่ขวัญข้าวก็จะจัด “พาขวัญน้อย” หนึ่งพา แล้วให้หมอสูดมาเป็นผู้ “สูดขวัญ” ให้เล้าข้าว โดยโยงด้ายสายสิญน์จากเล้าข้าวมาหาพาขวัญกับหมอสูดที่อยู่ข้างๆ ซึ่งในประเพณีอีสานในการสูดขวัญข้าวก็จะมีคำสูดขวัญโดยเฉพาะพิธีตุ้มปากเล้า

          ชาวอีสานหลังจาก “เอาเข่าขึ้นเล่า” แล้วชาวนาอีสานจะปิดประตูเล้าสนิท จะไม่ตักข้าวในเล้ามากินหรือมาขายเป็นอันขาด ข้าวเปลือกที่จะนำมาตำหรือมาสีกินในระหว่างที่ปิดประตูเล้าข้าวนั้น จะแบ่งไว้หรือกันไว้นอกเล้าข้าวต่างหาก เพราะชาวอีสานเชื่อว่า เมื่อนำข้าวขึ้นเล้าแล้วต้องปิดประตูเล้า 

           รอถึงวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ซึ่งเชื่อว่า “เป็นวันมงคล” จึงจะเปิดประตูเล้าข้าวได้ เพราะเชื่อว่าถ้าเปิดก่อนจะไม่เป็นมงคลแก่เล้าข้าว และข้าวในเล้าจะบก(ลด) จะพ่องไปอย่างรวดเร็ว พิธีกรรมการเปิดเล้าข้าวครั้งแรกเรียกว่า “ตุ้มปากเล้า” (ตุ้ม-คุ้มครอง, ปากเล่า-ประตูเล้า) การตุ้มปากเล้า แต่ละครัวเรือนก็จะต่างคนต่างทำที่เล้าข้าวของตนเพื่อปลอบขวัญข้าว หรือปลอบขวัญแม่โพสพ ผู้เป็นแม่เรือนจะจัดขัน 5 (ดอกไม้ 5 คู่ เทียนเล็ก 5 คู่) ใส่จานวางไว้ที่ประตูเล้าแล้วบอกกล่าวกับเล้าข้าวว่า “วันนี้เป็นวันดี จะมีการเปิดเล่าเข่า ขอให้กินอย่าบก จกอย่าลง” หรือบางคนอาจจะกล่าวยาวๆ ซึ่งมีคำกล่าวในพิธีการตุ้มปากเล้าโดยเฉพาะของอีสานอยู่ก็แล้วแต่แม่เรือน ผู้ทำพิธี พอพูดจบก็ไข (เปิด) ปักตู (ประตู) แล้วก็เสร็จพิธี ซึ่งในวิถีอีสานปัจจุบันการทำพิธีสู่ขวัญข้าว การเอาข้าวขึ้นเล้า จะไม่ค่อยมีแล้ว จะนิยมเอาใส่กระสอบไว้ในบ้านหรือขายตั้งแต่เกี่ยวข้าวเสร็จ เนื่องด้วยยึดความสะดวกสบาย ตามสภาพสังคมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เพราะการทำนาในปัจจุบันมีการลงทุน มีการใช้เครื่องจักรและการจำหน่ายผลผลิตเพื่อให้ได้กำไร พิธีกรรมที่เคยปฏิบัติจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วย นอกเหนือจากพิธีกรรมแล้วเล้าข้าวยังแฝงไว้ซึ่งภูมิปัญญาแห่งบรรพชนในการออกแบบการก่อสร้าง การใช้ประโยชน์และการเก็บรักษาผลผลิตที่ได้สั่งสมมาอีกด้วย



 

ภูมิปัญญาในการก่อสร้างเล้าข้าว

          ภูมิปัญญาในการก่อสร้าง ยุ้งข้าว(เล้าข้าว) ไว้ว่า ยุ้งข้าวเป็นภูมิปัญญาโบราณที่รับใช้ชาวนา ทุกชนชาติมาอย่างยาวนาน และยังสืบทอดพัฒนาจนเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบทั้งประโยชน์ใช้สอยและรูปแบบ ถึงแม้จะเป็นสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น ที่เกิดจากการสั่งสมศึกษาลองผิดลองถูกจนเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ แต่หลักในการออกแบบเล้าข้าว (ยุ้งข้าว) มีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างมีนัยสำคัญ เพราะประโยชน์ใช้สอยหลักของเล้าข้าว (ยุ้งข้าว) ไม่ว่าของพื้นที่ใดก็คือการป้องกันเมล็ดข้าวจากความร้อน ความชื้น สัตว์ และแมลงที่มาทำลายข้าวให้เกิดความเสียหายแนวคิดในการออกแบบเล้าข้าว (ยุ้งข้าว) ถึงจะต่างพื้นที่ ต่างสังคมวัฒนธรรมและศาสนา แต่สถาปัตยกรรมของเล้าข้าว(ยุ้งข้าว) กลับมีลักษณะที่คล้ายคลึง จนเป็นลักษณะเฉพาะที่สำคัญ คือ 1) ยกพื้นสูง เพื่อป้องกันความชื้น ป้องกันการรบกวนของสัตว์ใหญ่ เช่น แรดและช้าง 2) การก่อสร้างผนังอยู่ริมในของเสาเพื่อทำให้ภายในยุ้งข้าวไม่มีซอกมุมที่เกิดจากเหลี่ยมเสาเพื่อลดการสะสมของเมล็ดข้าวอยู่ตามซอก ไม่มีบันไดและหน้าต่างเพื่อป้องกันแสง ความร้อนและความชื้น ในขณะเดียวกันก็สามารถระบายอากาศได้ดี 3) โครงสร้างอยู่ภายนอกผนังเพื่อรับนํ้าหนัก ระบบโครงสร้างกับระบบผนังมักจะแยกเป็นอิสระจากกัน พื้นจะทำหน้าที่รับนํ้าหนักของข้าว ถ่ายเทนํ้าหนักลงบนตงและคาน ผนังจะรับแรงถีบจากด้านข้าง เสาจะรับทั้งนํ้าหนักและแรงถีบจากผนัง ในเล้าข้าวขนาดใหญ่มักจะมีเคร่าตีเสริมระหว่างเสาเพื่อช่วยรับแรงถีบของข้าว และมักเอียงเสาเข้า เพื่อรับแรงอีกทางหนึ่ง ในภาคอีสานเรียกรูปแบบนี้ว่าทรงช้างขี้ มีหลังคาลาดชันระบายนํ้าได้ดี หลังคาจะค่อนข้างชันเพื่อป้องกันฝนรั่วทำลายข้าวภายในเล้าข้าว 5) มีรายละเอียดในการก่อสร้าง เพื่อป้องกัน นกหนู แมลง ที่กินเมล็ดธัญพืชเป็นอาหารซึ่งเป็น ศัตรูสำคัญซึ่งทำให้ผลผลิตที่เก็บไว้ยุ้งข้าวเสียหาย ชาวอีสานโบราณได้สั่งสมความรู้และพัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อป้องกันผลผลิตจากแมลงและหนูโดยจะไม่วางเล้าไว้ใกล้บ้าน รั้ว หรือต้นไม้เพื่อกันหนูกระโจน เข้ามาในเล้าและที่โคนเสาก็จะใช้วัสดุผิวมันกรุเอาไว้เพื่อป้องกันหนูไต่ 6) มีจารีต และประเพณีที่เกี่ยวข้องกับความเคารพต่อธรรมชาติ ทุกวัฒนธรรมที่ปลูกข้าวจะมีผีและเทวดาที่เกี่ยวข้องกับข้าว แผ่นดิน ต้นไม้ ฝน นํ้า ที่สำคัญต่อการเพาะปลูก เช่น พระแม่โพสพ พญาแถน พญาคันคาก นาค งู เงือก ฯลฯ โดยผีและเทวดาเหล่าเป็นตัวแทนของธรรมชาติสามารถให้คุณและโทษแก่ผลผลิตข้าวของเกษตรกรได้ จึงต้องมีจารีตประเพณีเพื่อแสดงความเคารพ ขอขมา บอกกล่าวต่อธรรมชาติอยู่มากมายตลอดทั้งปี

 

สถาปัตยกรรมเล้าข้าวอีสาน

          เล้าข้าวออกเป็น 3 ขนาด คือ 1) เล้าข้าวขนาดเล็ก มีขนาดยาว 1-3 ช่วงเสากว้าง 1-2 ช่วงเสา แต่ละช่วงเสาอยู่ห่างกัน 1.00 -2.00 เมตร เก็บข้าวได้ไม่เกิน 500 กระบุง 2) เล้าข้าวขนาดกลาง สำรวจพบว่ามีมากทีสุดประมาณร้อยละ 90 ขนาดยาว 3-4 ช่วงเสา กว้าง 2-3 ช่วงเสา ใช้วัสดุที่คงทนถาวรเช่นไม้เนื้อแข็ง ส่วนหลังคามักมุงกระเบื้องดินเผา หรือกระเบื้องคอนกรีต แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นสังกะสีเป็นส่วนใหญ่ เล้าข้าวขนาดกลางเก็บข้าวได้ 500-1,000 กระบุง 3) เล้าข้าวขนาดใหญ่ ยาวมากกว่า 4 ช่วงเสากว้างมากกว่า 3 ช่วงเสา ใช้วัสดุที่คงทนถาวรเช่นเดียวกับเล้าข้าวขนาดกลาง เล้าข้าวขนาดใหญ่เก็บข้าวได้มากกว่า 1,000 กระบุง

 


วัสดุที่ใช้และส่วนประกอบของเล้าข้าว

          โครงสร้างทั้งหมดของเล้าข้าวนิยมใช้ไม้เนื้อแข็งในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น เสา ขาง (คาน) ตง คร่าว ขื่อ สะยัว (จันทัน) ดั้ง ตลอดจนกะทอด (พลึง) แป กลอน และวงกบประตู เพื่อความคงทนแข็งแรงในการรับน้ำหนัก ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของเล้าข้าว ซึ่งส่วนประกอบที่สำคัญ มีดังนี้คือ
          -ตง คือไม้เนื้อแข็งขนาด ประมาณ 3 – 4 นิ้ว ขนาดยาว ที่ใช้วางบนคาน (ขาง) ซึ่งบางครั้งจะมีหรือไม่มีก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัสดุคือไม้ และความต้องการในเรื่องความคงทน แข็งแรง เพราะถ้าใช้ตงวางบนคานก็จะช่วยทำให้การรับน้ำหนักของพื้นเล้ามีมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าจะมีแต่คานโดยไม่มีตงก็สามารถจะรับน้ำหนักได้อยู่แล้ว
หลังคา จะมีรูปทรงเป็นหน้าจั่ว ยุคแรกๆจะนิยมใช้หญ้าแฝก, หญ้าคามุงกันมาก ต่อมามีการใช้แผ่นไม้มุง (แป้นมุง-แผ่นไม้แข็งที่เอามาตัดและถางให้เป็นรูปคล้ายกระเบื้องดินขอ) และในสมัยปัจจุบันนิยมใช้สังกะสี หน้าจั่ว จะใช้หญ้าแฝก,หญ้าคา หรือไม้ไผ่สาน เพื่อกันฝนสาดเข้าไปถูกข้าวเลือกที่เก็บไว้ในเล้า
          -พื้น จะใช้ไม้แผ่นเนื้อแข็งอีสานเรียกแป้น เพราะเป็นส่วนที่ต้องรับน้ำหนัก เมื่อปูพื้นด้วยไม้แผ่นเนื้อแข็งแล้ว จะเกิดร่องระหว่างแผ่นที่เกิดจากการไม่ชิดกันของแผ่นไม้ ชาวอีสานจะใช้ไม้ไผ่ผ่าเป็นชิ้นกว้างประมาณ 2 ซม. เศษๆ หรือบางครั้งก็ใช้ไม้แผ่นตีทับตามแนวร่องปิดไว้ ไม้แผ่นที่ตีปิดร่องนี้เรียกว่า “ลึก” หรือ “ลึกไม้” เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวเปลือกรั่วออกจากพื้นเล้า
          -ฝา เป็นส่วนประกอบเล้าที่สำคัญมาก ในแง่ประโยชน์ใช้สอย ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของเล้าข้าว ในอดีตจะนิยมใช้ไม้แซง(ลำแซง), ไม้แขม(ลำแขม), และไม้ไผ่จักเป็นเส้นขนาดประมาณ 1 ซม. มาสานเป็นลายขัดแล้วทาอุดด้วยขี้วัว ขี้ควายผสมน้ำและดินโคลนตามความเหมาะสม เพื่ออุดรอยรั่วของลายขัด ซึ่งนิยมใช้ไม้แซงมากกว่าไม่แขม เพราะมีความคงทนกว่า แต่ต้องไปตัดไกลๆจากหมู่บ้าน คนที่ชอบสะดวกและง่ายๆ ก็มักจะใช้ไม้แขม เพราะขึ้นอยู่ตามบริเวณหนองน้ำใกล้ๆ หมู่บ้าน พอไม้แซงและไม้แขมหายาก จึงใช้ไม้ไผ่จักเป็นเส้นมาสานทำเป็นฝาแทน ต่อมาจึงมีการใช้ไม้แผ่น(ไม้แป้น)มาทำเป็นฝากันมากขึ้นเพราะคงทนถาวรมากกว่า เมื่อไม้แผ่นหายากและมีราคาสูง ในปัจจุบันส่วนมากจึงนิยมใช้สังกะสีมาทำเป็นฝาเล้าข้าวเพราะสะดวก หาง่าย และราคาไม่แพง
          -ประตู จะนิยมใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นแผ่นๆ ใส่จากด้านบนของวงกบทีละแผ่นโดยทำวงกบเป็นร่องตามแนวตั้งทั้งสองข้างเพื่อใส่แผ่นไม้ที่ทำเป็นประตู แต่ที่ใช้เป็นบานเปิด-ปิดแบบเรือนพักอาศัยก็มี แต่จะเก็บข้าวเปลือกได้น้อยกว่าแบบแรก ใช้สอยเก็บข้าวไม่สะดวก และทำให้ข้าวไหลออกจนเสียหายได้ง่าย การทำประตูเล้าข้าวจึงยึดประโยชน์ใช้สอยเป็นตัวกำหนด
          -กะทอด (พลึง) คือแผ่นไม้แผ่นหนาแข็ง ทำหน้าที่เป็นเสมือนเข็มขัดรัดตรงส่วนกลาง ปิดรอบตามแนวฝาที่จดกับพื้น หน้าที่เพื่อตีรัดฝาเล้าข้าวไว้
          -บันได ปกติเล้าข้าวจะไม่มีบันไดขึ้น-ลง แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้จริง ก็จะใช้ไม้กระดานวางให้มีความลาดชันมากๆ เพื่อขนข้าวขึ้น-ลง ถ้ากระดานมีความลื่นก็จะใช้ไม้ชิ้นเล็กๆตีเป็นขั้นๆไว้ ซึ่งจะไม่ใช้บันไดเป็นแบบขั้นๆ แบบของเรือนพักอาศัย ในอดีตจะนิยมใช้ไม้ไผ่ลำใหญ่ๆตัดให้เหลือแขนง วางพาดข้างเสาด้านหน้า สำหรับปีนขึ้น-ลง ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า “เกิน”

          ซึ่งในสังคมคนอีสานในอดีตนั้น เมื่อสร้างเรือนพักอาศัยต้องมีการสร้างเล้าข้าวด้วย เพราะอาชีพหลักคือการทำนา ข้าวเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในการดำรงชีวิตของชาวอีสาน ถึงกับมีผญาภาษิตอีสานกล่าวไว้ว่า “ทุกข์บ่มีเสื้อผ้า ฝาเฮือนดีพอลี้อยู่ ทุกข์บ่มีเข่าอยู่เล้า สินอนลี้อยู่จั่งได๋” เมื่อสร้างเรือนก็ต้องสร้างเล้าข้าวเพื่อเก็บข้าวไว้บริโภคตลอดทั้งปีจนกว่าจะถึงฤดูการทำนาในปีถัดไป ดังจะสังเกตได้จากบ้านเรือนคนอีสาน จะมีเล้าข้าวอยู่ในบริเวณบ้านด้วย

          ปัจจุบันกระบวนการทำนาปลูกข้าวของชาวอีสานได้เปลี่ยนแปลงไป ใช้เทคโนโลยีในการผลิตแทนแรงงานคน การทำนาเพื่อบริโภคในครัวเรือนก็เปลี่ยนเป็นการทำนาเพื่อการค้า เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จก็ขายทันที เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ค่ารถเกี่ยวและค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว ความสำคัญของเล้าข้าวจึงถูกลดบทบาทจากชีวิตชาวนา และสังคมชาวนาก็เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคสมัยใหม่ การสร้างบ้านเรือนก็นิยมสร้าง เป็นสถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ จึงไม่มีการสร้างเล้าข้าวในบริเวณบ้านเหมือนในอดีต เมื่อไม่มีการสร้างเล้าข้าว ภูมิปัญญาที่แผงอยู่และสถาปัตยกรรมแบบชาวบ้านนี้ก็ค่อยๆลบเลือนไป แม้แต่บ้านเรือนชาวอีสานที่ยังคงมีเล้าข้าวอยู่ ความเชื่อและพิธีกรรมที่ต้องปฏิบัติต่อเล้าข้าวก็ค่อยๆถูกละเลยการปฏิบัติ ขาดการสืบต่อการปฏิบัติจากคนรุ่นใหม่ เนื่องจากสภาพสังคม เศรษฐกิจ ค่านิยมและการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปจากอดีต ความเชื่อ พิธีกรรม ภูมิปัญญาและสถาปัตยกรรมเล้าข้าวอีสาน จะสามารถต้านทานกระแสสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลง หยัดยืนอยู่คู่สังคมชาวนาอีสาน ไม่สูญหายไปได้จริงหรือ?

 

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565

หนังสือยืนยันราคาในการขายที่ดิน

 




หนังสือยืนยันราคาในการขายที่ดิน

 

ที่...........................................................................

วันที่..............เดือน...........................................พ.ศ.................

 

          ข้าพเจ้า...................................................................................อายุ................ปี อยู่บ้านเลขที่.................ตำบล.............................................อำเภอ..............................................จังหวัด...................................................เป็นเจ้าของผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของที่ดินตามเอกสาร........................... ............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................ขอมอบให้....................................................................................อายุ..................ปี อยู่บ้านเลขที่.................ตำบล.............................................อำเภอ..............................................จังหวัด...................................................เป็นผู้ดำเนินการเสนอขายที่ดินดังกล่าวนี้ ในราคาไร่ละ................................................................................บาท (..........................................................................................) โดยกำหนดยืนยันในราคานี้เป็นเวลา..............เดือน นับจากวันนี้เป็นต้นไป

          เงื่อนไขในการเสนอขาย

          1. ฝ่ายผู้ซื้อสามารถตรวจสอบหลักฐานที่ดินได้ภายหลังการทำหนังสือนี้

          2. ให้ค่านายหน้าในการดำเนินการเสนอขาย......................................................

          3. ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายมอบให้...........................................................................เป็นผู้จ่าย

          4. ค่าภาษีมอบให้...........................................................................เป็นผู้จ่าย

          5. ส่วนที่ขายได้เกินราคาตามหนังสือยืนยันราคานี้ ยินยอมให้ผู้ดำเนินการเสนอขายทั้งหมด

          6. อื่นๆ..................................................................................................................................

 

 

 

ลงชื่อ.........................................................................เจ้าของที่ดิน

      (.........................................................................)

 

ลงชื่อ.........................................................................ผู้ดำเนินการเสนอขาย

      (.........................................................................)

 

ลงชื่อ.........................................................................พยาน/ผู้รวบรวม

      (.........................................................................)

 

ลงชื่อ.........................................................................พยาน

      (.........................................................................)

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2565

คอง 14 (ครรลอง 14 ประการ)

1. คองสิบสี่โดยนัย ที่ 1

คองสิบสี่โดยนัย ที่ 1

เพื่อดํารงรักษาไว้ซึ่งประเพณีและทํานองคลองธรรมอันดีงามกล่าวถึงผู้เกี่ยวข้องในครอบครัว สังคมตลอดจน ผู้มีหน้าที่ปกครองบ้านเมืองพึงปฏิบัติ เมื่อพูดถึงคองมักจะมีคําว่าฮีตควบคู่กันอยู่เสมอ แบ่งออกเป็น 14 ข้อ คือ

1. ฮีตเจ้าคองขุน สําหรับกษัตริย์หรือผู้ครองเมืองปกครองอํามาตย์ ขุนนางข้าราชบริพาร

2. ฮีตเจ้าคองเพีย สําหรับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ในการปกครองข้าทาสบริวาร

3. ฮีตไพร่คองนาย สําหรับประชาชนในการปฏิบัติตนตามกบิลบ้านเมืองและหน้าที่พึงปฏิบัติต่อนาย

4. ส่วนรวมฮีตบ้านคองเมือง วัตรอันพึงปฏิบัติตามธรรมเนียมทั่วไปของพลเมืองต่อบ้านเมืองและส่วนร่วม

5. ฮีตผัวคองเมีย หลักปฏิบัติต่อกันของสามีภรรยา

6. ฮีตพ่อคองแม่ หลักปฏิบัติของผู้ครองเรือนต่อลูกหลาน

7. ฮีตลูกคองหลาน หลักปฏิบัติของลูกหลานต่อบุพการี

8. ฮีตใภ้คองเขย หลักปฏิบัติของสะใภ้ต่อญาติผู้ใหญ่และพ่อแม่สามี

9. ฮีตป้าคองลุง หลักปฏิบัติของลุง ป้า น้า อา ต่อลูกหลาน

10. ฮีตคองปู่ย่า ตาคองยาย หลักปฏิบัติของปู่ย่า ตายาย ให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรต่อลูกหลาน

11. ฮีตเฒ่าคองแก่ หลักปฏิบัติของผู้เฒ่าในวัยชราให้เป็นที่เคารพเลื่อมในเหมาะสม

12. ฮีตคองเดือน การปฏิบัติตามจารีตประเพณีต่าง ๆ ในฮีตสิบสอง

13. ฮีตไฮ่คองนา การปฏิบัติตามประเพณีเกี่ยวกับการทําไร่ทํานา

14. ฮีตวัดคองสงฆ์ หลักปฏิบัติของภิกษุสามเณรให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยทั้งการช่วยทํานุบํารุงวัดวาอาราม

 

2. คองสิบสี่โดยนัย ที่ 2

 

 

คองสิบสี่โดยนัย ที่ 2

กล่าวถึงหลักการสําหรับพระมหากษัตริย์ในการปกครองทั้งอํามาตย์ราชมนตรีและประชาชนเพื่อความสงบสุขร่มเย็น โดยทั่วกัน

1. แต่งตั้งผู้ซื่อสัตย์สุจริต รู้จักราชการ บ้านเมือง ไม่ข่มเหงไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน

2. หมั่นประชุมเสนามนตรี ให้ข้าศึกเกรงกลัว บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ประชาชนเป็นสุข

3. ตั้งมั่นในทศพิธราชธรรม

4. ถึงปีใหม่นิมนต์ภิกษุมาเจริญพุทธมนต์ สวดมงคลสูตรและสรงน้ำพระภิกษุ

5. ถึงวันปีใหม่ให้เสนาอํามาตย์นําเครื่องบรรณาการ น้ำอบ น้ำหอม มุรธาภิเษก พระเจ้าแผ่นดิน

6. ถึงเดือนหกนิมนต์ พระภิกษุสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ถือน้าพิพัฒน์สัตยาติพระเจ้าแผ่นดิน

7. ถึงเดือนเจ็ด เลี้ยงท้าวมเหสักข์ หลักเมือง บูชาท้าวจตุโลกบาลเทวดาทั้งสี่

8. ถึงเดือนแปด นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ทําพิธีชําระ และเบิกบ้านเมือง สวดมงคลสูตรคืน โปรยกรวดทรายรอบเมือง ตอกหลักบ้านเมืองให้แน่น

9. ถึงเดือนเก้า ประกาศให้ประชาชนทําบุญข้าวประดับดิน อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ

10. วันเพ็ญเดือนสิบ ประกาศให้ประชาชนทําบุญข้าวสาก จัดสลากภัตต์ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ แก่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ

11. วันเพ็ญเดือนสิบเอ็ด ทําบุญออกพรรษา ให้สงฆ์ปวารณามนัสการและมุรธาภิเษก พระธาตุหลวง พระธาตุภูจอมศรี และประกาศให้ประชาชนไหลเรือไฟเพื่อบูชาพญานาค

12. เดือนสิบสองให้ไพร่ฟ้าแผ่นดินรวมกันที่พระลานหลวงแห่เจ้าชีวิตไปแข่งเรือถึงวันเพ็ญพร้อมด้วยเสนาอํามาตย์ นิมนต์ และภิกษุรูป นมัสการพระธาตุหลวงพร้อมเครื่องสักการะ

13. ถึงเดือนสิบสอง ทําบุญกฐิน ถวายผ้ากฐินตามวัดต่าง ๆ

14. ให้มีสมบัติอันประเสริฐ คูนเมืองทั้ง14 อย่างอันได้แก่ อํามาตย์ ข้าราชบริพาร ประชาชน พลเมือง ตลอดจนเทวดา อารักษ์เพื่อค้ำจุนบ้านเมือง

 

3. คองสิบสี่โดยนัย ที่ 3

คองสิบสี่โดยนัย ที่ 3

เป็นจารีตประเพณีของประชานและธรรมที่พระเจ้าแผ่นดินพึงยึดถือ

1. เดือนหกขนทรายเข้าวัด ก่อพระเจดีย์ทรายทุกปี

2. เดือนหกหน้าใหม่ เกณฑ์คนสาบานตนทําความซื่อสัตย์ต่อกันทุกคน

3. ถึงฤดูทํานา คราด หว่าน ปัก ดํา ให้เลี้ยงตาแฮก ตามกาลประเพณี

4. สิ้นเดือนเก้าทําบุญข้าวประดับดินเพ็ญเดือนสิบทําบุญข้าวสาก อุทิศส่วนกุศลให้ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับ

5. เดือนสิบสองให้พิจารณาทําบุญกฐินทุกปี

6. พากันทําบุญผะเหวด ฟังเทศน์ผะเหวดทุกปี

7. พากันเลี้ยงพ่อ แม่ที่แก่เฒ่า เลี้ยงตอบแทนคุณที่เลี้ยงเราเป็นวัตรปฏิบัติไม่ขาด

8. ปฏิบัติเรือนชานบ้านช่อง เลี้ยงดูสั่งสอน บุตรธิดา ตลอดจนมอบ มรดกและหาคู่ครองเมื่อถึงเวลาอันควร

9. เป็นเขย่าดูถูกลูกเมีย เสียดสีพ่อตาแม่ยาย

10. รู้จักทําบุญให้ทาน รักษาศีล ไม่พูดผิดหลอกลวง

11. เป็นพ่อบ้านให้มีพรหมวิหาร สี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

12. พระมหากษัตริย์ต้องรักษาทศพิธราชธรรม

13. พ่อตา แม่ยาย ได้ลูกเขยมาสมสูงให้สํารวมวาจา อย่าด่าโกรธา เชื้อพงศ์พันธุ์อันไม่ดี

14. ถ้าเอามัดข้าวมารวมกองในลานทําเป็นลอมแล้ว ให้พากันปลงข้าวหมกไข่ ทําตาเหลว แล้วจึงพากันเคาะฟาดตี

 

 4. คองสิบสี่โดยนัย ที่ 4

คองสิบสี่โดยนัย ที่ 4

1. ให้พระภิกษุสงฆ์ศึกษาพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้าและรักษาศีล227 ข้อ เป็นประจําทุกวัน

2. ให้รักษาความสะอาดกุฏิ วิหาร โดยปัดกวาดเช็ดถูกทุกวัน

3. ให้ปฏิบัติกิจนิมนต์ของชาวบ้านเกี่ยวกับการทําบุญ

4. ถึงเดือนแปด ตั้งแต่แรมหนึ่งค่ำเป็นต้นไปต้องจําพรรษา ณ วัดใดวัดหนึ่งไปจนถึงวันแรมหนึ่งคําเดือนสิบเอ็ด

5. เมื่อออกพรรษาแล้วพอถึงฤดูหนาว (เดือนอ้าย) ภิกษุผู้มีศีลหย่อนยานให้หมวดสังฆาทิเสสต้องอยู่ปริวาสกรรม

6. ต้องออกเที่ยวบิณฑบาต ทุกเช้าอย่าได้ขาด

7. ต้องสวดมนต์และภาวนาทุกคืนอย่าได้ละเว้น

8. ถึงวันพระขึ้นสิบห้าค่ำหรือแรมสิบสี่ค่ำ (สําหรับเดือนคี่) ต้องเข้าประชุมทําอุโบสถสังฆกรรม

9. ถึงปีใหม่ (เดือนห้า วันสงกรานต์) นําทายก ทายิกา เอาน้ำสรงพระพุทธรูปและมหาธาตเจดีย์

10. ถึงศักราชใหม่ พระเจ้าแผ่นดินไหว้พระ ให้สรงน้ำในพระราชวัง

11. เมื่อมีชาวบ้านเกิดศรัทธานิมนต์ไปกระทําการใด ๆ ที่ไม่ผิดหวังพระวินัยก็ให้รับนิมนต

12. เป็นสมณะให้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดวาอาราม พระมหาธาตุเจดีย์

13. ให้รับสิ่งของที่ทายก ทายิกานํามาถวายทาน เช่น สังฆทานหรือสลากภัตต

14. เมื่อพระเจ้าแผ่นดินหรือเสนาข้าราชการมีศรัทธา นิมนต์ไปประชุมกันในพระอุโบสถแห่งใด ๆ ในวันเพ็ญเดือนสิบเอ็ดต้องไปอย่าขัดขืน

 

© กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อบจ.ร้อยเอ็ด 2022, Powered by Astroid. Design by JoomDev

 

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2565

บทสวดมหาเมตตาใหญ่



นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะนะโม ตัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะนะโม ตัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะนะโม ตัสสะ

 

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ

สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

 

ทุติยัมปิ พุทธธัง สรณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

 

ตะติยัมปิ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ

 

         เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ      อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขา.กะตะเม เอกาทะสะ. สุขัง สุปะติ, สุขัง ปะฏิพุชฌะติ, นะ ปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ, มะนุสสานัง ปิโย โหติ, อะมะนุสสานัง ปิโย โหติ, เทวะตา รักขันติ,

นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ, ตุวะฏัง จิตตัง สะมาธิยะติ, มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ, อะสัมมุฬ๎โห กาลัง กะโรติ, อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พ๎รัห๎มะโลกูปะโค โหติ. เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ อิเม เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขา.อัตถิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ. อัตถิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ. อัตถิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ. กะตีหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ. กะตีหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ.กะตีหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ. ปัญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ. สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ. ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ.

 

๑. แผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงผู้รับ ๕ จำพวก

กะตะเมหิ ปัญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ.

๑) สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๒) สัพเพ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๓) สัพเพ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๔) สัพเพ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ

๕) สัพเพ อัตตะภาวะปะริยาปันนา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตูติ.

อิเมหิ ปัญจะหากาเรหิ อะโนธิโส ผะระณา เมตตา เจโตวิมุตติ.

 

๒. แผ่เมตตาโดยเจาะจงผู้รับ ๗ จำพวก

กะตะเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ.

๑) สัพพา อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๒) สัพเพ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๓) สัพเพ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๔) สัพเพ อะนะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๕) สัพเพ เทวา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๖) สัพเพ มะนุสสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

๗) สัพเพ วินิปาติกา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตูติ.

อิเมหิ สัตตะหากาเรหิ โอธิโส ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ.

 

๓. แผ่เมตตาให้สัตว์ ๑๒ จำพวกใน ๑๐ ทิศ

(๑) แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ใน ๑๐ ทิศ

     กะตะเมหิ ทะสะหากาเรหิ ทิสา ผะระณา เมตตาเจโตวิมุตติ.

     ๑) สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.                   

     ๒) สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๖) สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ สัตตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

 

        (๒) แผ่เมตตาให้สัตว์ที่มีลมปราณใน ๑๐ ทิศ

     ๑) สัพเพ ปุรัตถิยายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.                         

     ๒) สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ. 

     ๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.                                   

     ๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.     

     ๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๖) สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา  สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

     ๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปาณา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

 

        (๓) แผ่เมตตาให้ผู้เกิดในภพภูมิต่างๆ ในทิศทั้ง ๑๐

             ๑) สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๒) สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๖) สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ภูตา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

 

        (๔) แผ่เมตตาให้บุคคลใน ๑๐ ทิศ

             ๑) สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.          

             ๒) สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๖) สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.          

              ๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปุคคะลา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

 

        (๕) แผ่เมตตาให้ผู้มีตัวตนใน ๑๐ ทิศ

             ๑) สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

             ๒) สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๖) สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ อัตตะภาวะปะริยาปันนา

                   อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

 

         (๖) แผ่เมตตาให้สตรีใน ๑๐ ทิศ

                  ๑) สัพพา ปุรัตถิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๒) สัพพา ปัจฉิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๓) สัพพา อุตตะรายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๔) สัพพา ทักขิณายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๕) สัพพา ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๖) สัพพา ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๗) สัพพา อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๘) สัพพา ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

                  ๙) สัพพา เหฏฐิมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.          

                   ๑๐) สัพพา อุปะริมายะ ทิสายะ อิตถิโย อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

 

         (๗) แผ่เมตตาให้บุรุษใน ๑๐ ทิศ

               ๑) สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๒) สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๖) สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ. 

               ๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๙) สัพเพ เหฏฐิมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๑๐) สัพเพ อุปะริมายะ ทิสายะ ปุริสา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

 

         (๘) แผ่เมตตาให้พระอริยะใน ๑๐ ทิศ

               ๑) สัพเพ ปุรัตถิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๒) สัพเพ ปัจฉิมายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๓) สัพเพ อุตตะรายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๔) สัพเพ ทักขิณายะ ทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๕) สัพเพ ปุรัตถิมายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๖) สัพเพ ปัจฉิมายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๗) สัพเพ อุตตะรายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๘) สัพเพ ทักขิณายะ อะนุทิสายะ อะริยา อะเวรา อัพ๎ยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ.

               ๙) สัพเพ เหฏฐิม

 

 

******************** 

บทสวดมนต์ขอขมากรรม ถอนคำสาปแช่ง ถอนการบนบานต่างๆ คล่องตัว ร่ำรวย เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

บทสวดมนต์ขอขมากรรม ถอนคำสาปแช่ง 

ถอนการบนบานต่างๆ คล่องตัว ร่ำรวย เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

 


      อุกาสะ อัจจะโยโนภันเต อัจจะขมา ยะถาพาเล ยะถามูลเห  ยะถาอะกุศเลเยมะ ยังกะรัมหา เอวังภันเต อัจจะโยโน ปะฏิคัณหะถะ อายะติง สังวะเรยยามะ

      ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอขมากรรม ที่ได้กระทำความผิดอกุศลเข้าสิงจิตให้กระทำผิด พูดผิด คิดผิด ด้วยกายวาจาใจ เคยลบหลู่พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ สมมุติสงฆ์ พระโพธิสัตว์ ลบหลู่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน ลบหลู่เทพทรง องค์เทพ และองค์พรหมทั้งหลาย ลบหลู่พระธรณี พระแม่คงคา พระแม่โพสพ พระเพลิงพระพายและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ ในแสนโกฏจักรวาล ในอนันตจักรวาล ไม่ละลายบาปไม่เกรงกลัวต่อบาปซุบซิบนินทาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ชอบเพ่งโทษแล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น ยุยงส่งเสริมให้แตกความสามัคคี ชอบนำเรื่องราวที่ไม่จริงไปขยายใส่ความให้คนอื่นเข้าใจผิด ชอบคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า... คนนั้นจะต้องเป็นอย่างนี้ คนนี้จะต้องอย่างโน้น ใจคิดคดทรยศหักหลังเพื่อนฝูง และผู้มีพระคุณทั้งหลาย วิบากกรรมอันใดที่ข้าพเจ้าเคยติดสินบนไว้ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย เทพเจ้าเหล่าเซียนพระองค์ใด ภูตผีปีศาจอสูรกายยักษ์มารเหล่าใด อาทิสมานกายสัมพะเวสีทั้งหลาย เทพพรหมทุกชั้นฟ้า เจ้าพ่อเจ้าแม่ เจ้าที่เจ้าทาง ผีสางนางไม้ท่านใดได้แก้บนไปแล้วก็ดี หลงลืมไม่ได้แก้บนก็ดี เจตนา หรือไม่เจตนาก็ดี เป็นหนี้ผูกพันกันมา ในอดีตชาติเป็นร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ จะนับประมาณมิได้ แม้ในชาติปัจจุบันนี้เป็นการไม่สมควร เสมือนหนึ่งเป็นการต่อรองกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าขอสำนึกผิด ในการกระทำทั้งปวงด้วยกาย วาจา ใจ ขอให้ท่านทุกรูปทุกนาม ทุกจิต ทุกวิญญาณ ทุกภพทุกภูมิ โปรดงดโทษอโหสิกรรม ให้เป็นอภัยทาน ให้ขาดจากกัน ในชาตินี้เพื่อจะได้ไม่ติดภพติดชาติ ติดภพติดภูมิ ไปในชาติหน้าอีกต่อไป ข้าพเจ้าจักสำรวมระวัง ไม่ขอติดสินบนอีกต่อไป จะอธิษฐานขอพร เพียงอย่างเดียว ลูกขอกราบอาราธนาและ อัญเชิญ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระธรรม และพระสงฆ์ พระโพธิสัตว์ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ทวยเทพทั้งหลายทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน โปรดจงมาเป็นสักขีพยานให้ ข้าพเจ้า.....ชื่อ.......นามสกุล........ขอถอนคำอธิษฐาน ที่ผิดและคำสาปแช่งทุกชนิด ด้วยจิตริษยา อาฆาตพยาบาทด้วยความโลภ ความโกรธความหลง จองล้างจองผลาญเบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ มีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน มานะทิฏฐิ กิเลส พันห้า ตัณหาร้อยแปด โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชอบอธิษฐานในสิ่งผิดๆ และสาปแช่งด้วยความหลงผิด ข้าพเจ้าขอถอน ณ บัดนี้...

      อิมัง สัจจะวาจัง มิจฉาทิฏฐิ อะธิฏฐานัง ปัจจุทธะรามิ ทุติยัมปิ อิมัง สัจจะวาจัง มิจฉาทิฏฐิ อะธิฏฐานัง ปัจจุทธะรามิ ตะติยัมปิ อิมัง สัจจะวาจัง มิจฉาทิฏฐิ อะธิฏฐานัง ปัจจุทธะรามิ

      คำอธิษฐานใด ๆ คำสาปแช่งใด ๆ ที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ถึงแก่ความวิบัติ พลัดพรากหรือถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าขอถอน  ณ บัดนี้ นะถอน โมถอน พุทถอน ธาถอน ยะถอน ต้องคำสาป  ให้ม้วยมรณ์ ถอนด้วยนะโม พุทธายะ ยะธา พุทโมนะฯ คำสาปแช่งอันใด คำอธิษฐานอันใด ที่คนอื่น สาปแช่งเราไว้ เพราะต้องคำสาบ ให้ข้าพเจ้าถึงแก่ความวิบัติต่าง ๆ ทั้งในอดีตชาติ และในปัจจุบันชาติ ข้าพเจ้าขอถอน ณ บัดนี้

       "นะสูญ โมสูญ พุทสูญ ธาสูญ ยะสูญ ต้องคำสาปทั้งมูล สูญด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะฯ" ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เทอญฯ ข้าพเจ้าขออำนาจพลังทิพย์ พลังธรรม พลังจักรวาล พลังฟ้าดิน พลังสุริยันจันทราดารารัศมี พลังเทพ พลังบุญ อันศักดิ์สิทธิ์ พลังเทพผู้ทรงฤทธิ์ สถิตอยู่ในทิศทั้งหลาย พลังอริยสงฆ์เจ้า พลังพระธรรมเจ้า พลังพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ โปรดแผ่พลังรัศมีธรรม ให้ข้าพเจ้า หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย สัพพะเคราะห์วิบากกรรมอันใด จงพินาศสูญไป และพ้นจากคำสาปแช่งทั้งปวง นำตนให้พ้นทุกข์ ประสพสันติสุขอย่างแท้จริง และดับทุกข์ได้ ในที่ทุก ๆ สถานในกาลทุกเมื่อเทอญ

ฮีตสิบสอง เดือนสิบสอง บุญกฐิน



เดือนสิบสอง บุญกฐิน

บุญกฐินคือ บุญที่เรียกว่า "กาลทาน" นี้มีกําหนดให้ทําได้เฉพาะใน ช่วงวันแรม ค่ำ เดือน 11 ถึง 15 ค่ำ เดือน 12 ของทุก ปี จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "บุญ เดือน 12" ชาวอีสานเชื่อว่าผู้ใดได้ ทําบุญกฐินจะไม่ตกนรกและจะได้รับผลบุญที่ทําในชาตินี้ไว้เก็บกินในชาติหน้า งานบุญกฐินจึงจัดเป็นงานสําคัญ ในส่วน พิธีกรรมนั้นคล้ายคลึงกับภาคกลางแต่ที่ชาวอีสานและเครื่องบริวารกฐิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนมาตั้งวางไว้ในที่เปิดเผยเพื่อให้ญาติพี่น้อง หรือชาวบ้าน ใกล้เคียงนําสิ่งของ เช่น เสื่อ หมอน อาสนสงฆ์ ฯลฯ มาร่วมสบทบ ตอนเย็นของวันรวมก็จะนิมนต์ พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ตอนกลางคืน อาจจัดให้มีมหรสพต่างๆ และที่ขาดไม่ได้ในงานบุญ กฐินก็คือ ต้องจุด "บั้งไฟพลุ" อย่างน้อยจํานวน บั้ง เอาไว้จุดเมื่อตอนหัวค่ำหนึ่งลูก ตอนดึกหนึ่งลูก ตอนใกล้สว่างหนึ่งลูก และตอนถวายกฐินอีกหนึ่งลูก นอกจากจุดบั้งไฟพลุแล้วก็จะจุดบั้งไฟตะไลเป็นระยะ ๆ ในขณะที่แห่กฐินรุ่งเช้าเป็นขบวนแห่กฐินจาก บ้านไปถวายพระสงฆ์ที่วัด เมื่อถึงวัดต้องแห่เครื่องกฐินเวียนขวาสามรอบ รอบศาลาโรงธรรม จากนั้นจึงนําเครื่องกฐินขึ้นตั้งบนศาลาโรงแรม นําข้าวปลา อาหารถวายพระ ถ้าถวายตอนเช้าก็เลี้ยงพระตอนฉันจังหัน แต่ถ้าถวายตอนบ่ายก็จะเลี้ยงพระตอนเพล เมื่อพระสงฆ์สามเณรฉันเสร็จแล้วผู้เป็นเจ้าภาพ องค์กฐินจะจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย นํารับศีลแล้วกล่าวคําถวายกฐินเป็นเสร็จพิธี ส่วนพระสงฆ์เมื่อมีกฐินมาทอดที่วัดก็จะประชุมสงฆ์แล้วให้ภิกษุรูป หนึ่งเสนอต่อที่ประชุมสงฆ์ว่าควรให้แก่ภิกษุ (เอ่ยนามภิกษุ) ที่สมควรจะได้รับกฐิน ส่วนมากก็เป็นเจ้าอาวาสวัดนั้นๆ เมื่อที่ประชุมสงฆ์เห็นชอบตามที่มีผู้เสนอ ก็จะเปล่งคําว่า "สาธุ" พร้อมกันจากนั้นญาติโยมก็จะพากันถวายเครื่องปัจจัยไทยทานแด่ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ทั้งวัด พระสงฆ์รับแล้วจะอนุโมทนาและให้พรเป็น เสร็จพิธีจะขาดไม่ได้ คือ การเฉลิมฉลองโดยการจุดพลุบั้งไฟอย่างเอิกเกริกในขณะที่แห่ขบวนกฐินมาที่วัด

มูลเหตุพิธีกรรม

เพื่อให้ภิกษุสงฆ์มีโอกาสได้ผลัดเปลี่ยนไตรจีวรใหม่ เนื่องจากของเก้าใช้นุ่งห่มมาตลอดระยะเวลาสามเดือนที่เข้าพรรษาย่อมเก่าคร่ำคร่ามีเรื่องเล่าว่าในสมัย พระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนมชีพอยู่ ภิกษุชาวเมืองปาฐาจํานวน 30 รูปพากันเดินทางไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเชตุวันมหาวิหารไม่ทันวันเข้าพรรษา จึงต้องพากันพักจําพรรษาอยู่ที่เมืองสาเกตพอออกพรรษาแล้วก็รีบพากันเดินทางกรําแดดกรําฝนไปเฝ้าพระพุทธองค์ จีวรที่นุ่มห่มก็เปียกปอน เมื่อพระพุทธองค์ ทรงเห็นความยากลําบากของพระภิกษุเหล่านี้ก็ทรงอนุญาตให้รับผ้ากฐินได้ เพื่อจะได้มีจีวรเปลี่ยนใหม่ เมื่อผู้มีศรัทธาประสงค์จะนํากฐินไปทอดต้องไปขอ จองวัดโดยปกติมักจะติดต่อ


ฮีตสิบสอง เดือนเจ็ด บุญซําฮะ



เดือนเจ็ด บุญซําฮะ

บุญซําฮะหรือชําระ เกิดตามความเชื่อที่ว่าเมื่อถึงเดือนเจ็ดต้องทําบุญชําระจิตใจให้สะอาดและเพื่อ ปัดเป่ารังควาญสิ่งไม่เป็นมงคลออกจากหมู่บ้านบาง ท้องถิ่นเรียกประเพณีนี้ว่าบุญเบิกบ้านซึ่งมีพิธีกรรมทั้งทางศาสนาพุทธและไสยศาสตร์ ในวันงานชาวบ้านจะพากันนําภัตตาหารมาถวายแด่พระภิกษุ สงฆ์และร่วมกัน ฟังเทศน์ฟังธรรม รวมทั้งมีการเซ่นไหว้ศาลหลักบ้าน เพื่อขอความคุ้มครองให้พ้นจากภัยพิบัติและช่วยขับไล่สิ่งไม่ดีไม่งามออกไปจาก หมู่บ้าน ให้บ้านเกิดความเป็นสิริมงคล

มูลเหตุของพิธีกรรม

มีเรื่องเล่าไว้ในคัมภีร์ธรรมบทว่าครั้งหนึ่งเมืองไพสาลีเกิด "ทุพภิกขภัย" ข้าวยากหมากแพงประชาชนขาดแคลนอาหารเพราะฝนแล้งสัตว์เลี้ยงต่างๆ ล้มตายเพราะความหิว ซ้ำร้ายอหิวาตกโรคหรือ "โรคห่า" ก็ระบาดทําให้ผู้คนล้มตายกันมากมาย ชาวเมืองกลุ่มหนึ่งจึงพากันเดินทางไปนิมนต์ พระพุทธเจ้าให้มาปัดเป่าภัยพิบัติครั้งนี้ ครั้นพระพุทธเจ้าเสด็จถึงเมืองไพสาลีก็เกิดฝน "ห่าแก้ว" ตกลงมาอย่างหนักจนน้ําฝนท่วมแผ่นดินสูงถึง หัวเข่าและน้ำฝนก็ได้พัดพาเอาซากศพของผู้คนและสัตว์ต่างๆ ไหลล่องลอยลงแม่น้ำไปจนหมดสิ้น พระพุทธเจ้าทรงทําน้ำพระพุทธมนต์ใส่บาตร แล้วมอบให้พระอานนท์นําไปประพรมทั่วเมือง โรคภัยไข้เจ็บก็สูญสิ้นไปด้วย เดชะพระพุทธานุภาพ ดังนั้นคนลาวโบราณรวมทั้งไทยอีสานจึงทํา บุญซําฮะขึ้นในเดือน ของทุกๆ ปี พิธีกรรม พอถึงวันทําบุญชาวบ้านทุกครัวเรือนจะนําดอกไม้ธูปเทียน ขันน้ำมนต์ ขันใสกรวด ทรายและเฝ้าผูกแขน มารวมกันที่ศาลากลางบ้าน ถ้าหมู่บ้านใดไม่มีศาลากลางบ้าน ถ้าหมู่บ้านใดไม่มีศาลากลางบ้าน ชาวบ้านจะช่วยกันปลูกปะรําพิธีขึ้นกลางหมู่บ้าน ตกตอนเย็นจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดชัยมงคลคาถา (ชาวอีสานเรียกว่า ตั้งมุงคุน) เช้าวันรุ้งขึ้นจะพากันทําบุญตักบาตรเลี้ยงพระถวายจังหันเมื่อ พระสงฆ์ ฉันเสร็จแล้วจะให้พรและประพรมน้ำพุทธมนต์ให้แก่ทุกคนที่มาร่วมทําบุญ จากนั้นชาวบ้านจะนําขันน้ำมนต์ด้ายผูกแขน ขันกรวดทรายกลับไปที่ บ้านเรือนของตนเองแล้วนําน้ำมนต์ไป ประพรมให้แก่ทุกคนในครอบครัว ตลอดจนบ้านเรือนและวัวควาย เอาด้ายผูกแขน ลูกหลานทุกคนเพราะเชื่อ ว่าจะนําความสุขและสิริมงคลมาสู่สมาชิกทุกคน ส่วนกรวดทรายก็จะเอามาหว่านรอบๆ บริเวณบ้านและที่สวนที่นา เพื่อขับไล่เสนียดจัญไร และสิ่ง อัปมงคล


ฮีตสิบสอง เดือนหก บุญบั้งไฟ



เดือนหก บุญบั้งไฟ

บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีที่เกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับแถน เมื่อถึงเดือนหกเริ่มต้นการทํานาชาวบ้านจะจุดบั้งไฟเป็นการบูชาขอให้พญาแถนบันดาล ฝนให้ตกลงมา ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นกิจกรรมร่วมกันของชุมชนอีสานหลาย ๆ หมู่บ้าน หมู่บ้านเจ้าภาพจะปลูกโรงเรือน เรียกว่า ผามบุญ ไว้ต้อนรับ ชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่น และดูแลจัดหาอาหารสําหรับทุกๆ คน เช้าของวันงานชาวบ้านจะร่วมกันทําบุญ ประกวดประชัน แห่และจุดบั้งไฟที่ตกแต่ง อย่างงดงาม บั้งไฟของหมู่บ้านใดจุด ไม่ขึ้นชาวบ้านหมู่บ้านนั้นจะถูกโยนลงโคลนเป็นการทําโทษ และจะมีการเซิ้งฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน และจะมี การเซิ้งปลัดขิกร่วมอยู่ในขบวนด้วยเสมอ โดยมีความเชื่อว่าเป็นการไล่ผีให้พ้นออก ไปจากหมู่บ้านและเร่งให้แถนส่งฝนลงมาเร็วๆ

มูลเหตุของพิธีกรรม

ตามตํานานพื้นบ้านอีสานเชื่อว่าเป็นการจุดบั้งไฟเป็นสัญญาณเตือนให้พญาแถนรู้ว่าถึงฤดูทํานาแล้วให้พญาแถนบันดาล ให้ฝนตกและมีปริมาณ เพียงพอแก่การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารพิธีกรรม เมื่อได้ประชุมกําหนดวันจะทําบุญบั้งไฟแล้ว พวกช่างปืนไฟก็จะร่วมทําบั้งไฟ หาง บั้งไฟก่องข้าว ไว้ตามจํานวนและขนาดที่ชาวบ้านศรัทธาร่วมกันบริจาคเงินซื้อศรัทธา ซื้อ "ขี้เกีย หรือ ขี้เจี้ย" (ดินประสิว) มาทํา "หมื่อ" ปัจจุบันมักจะมีการแข่งขัน บั้งไฟระหว่างคุ้มบอกกล่าวไปยังหมู่บ้านอื่นๆ ให้ทําบั้งไฟมาแข่งขันกันตามขนาดที่กําหนดอาจเป็น "บั้งไฟหมื่น" (มีน้ำหนักไม่เกิน 120 กิโลกรัม) "บั้งไฟแสน" (มีน้ำหนักมากกวา 120 กิโลกรัม) ก็ได้พอถึง "มื้อโฮมบุญ" หรือวันรวม ชาวบ้านจะจัดทําบุญเลี้ยงพระเพล แล้วจะมี "พิธีฮดสง" พระภิกษุ ผู้มีศีลศึกษาธรรมวินัยมาตลอดพรรษาให้ได้เลื่อนเป็นตําแหน่งสูงขึ้น คือ "ฮด" จากพระภิกษุธรรมดาให้เป็นภิกษุขั้น "อาจารย์" แต่เรียกสั้นๆ ว่า "จารย์" ผู้มีอายุครบบวชถ้าอยากบวช พ่อแม่มักจะจัดให้บวชในเดือนนี้ไปพร้อมๆ กับพิธีนี้ ประมาณเวลา 15.00 น. ของมื้อโฮม นํา "กองฮด" และ "กองบวช" มาตั้งไว้กลางศาลาโรงธรรมทางวัดจะตีกลองเป็นสัญญาณ บอกให้ทุกคุ้มนําบั้งไฟมารวมกันที่วัดแต่ละคุ้มจะเอ้บั้งไฟ (ตกแต่งบั้งไฟ) ของตนให้สวยงาม เป็นการประกวดประชันกันเบื้องต้น มีการจัดขบวนการแห่บั้งไฟ และในขณะที่แห่บั้งไฟจะเซิ้งบั้งไฟไปพร้อม ๆ กันด้วย การเซิ้งบั้งไฟนี้จะมีหัวหน้า กล่าวนําคําเซิ้งเป็นวรรคๆ ไปแล้วให้ผู้เข้าร่วมขบวนแห่ทุกคนกล่าวตาม ขณะที่กล่าวก็รําให้เข้ากับจังหวะเซิ้งนั้นด้วยรุ่งเช้าของวันบุญบั้งไฟ ญาติโยม จะนําข่าวปลาอาหารทั้งขนมหวาน มาทําบุญตักบาตรร่วมกันที่วัด หลังจากพระฉันจังหันเสร็จแล้วก็จะนําบั้งไฟมารวมกันที่วัดแล้วนําไปจุดที่ "ค้างบั้งไฟ" (ร้านสําหรับจุดบั้งไฟ) ที่สําคัญเวลาจุดต้องหันหัว บั้งไฟไปทางทุ่งนาหรือหนองน้ำเพื่อป้องกันอันตราย